ประวัติท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง...

ประวัติหลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ

พระครูพิพิธธรรมาธร(หวั่น กุสลจิตฺโต) โสภณ บุญสุข วัดคลองคูณ ตำบล คลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน จังหวัด พิจิตร...

ประวัติหลวงปู่ฮก

หลวงปู่ฮก รติน۪ธโร พระผู้เคร่งครัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่โทน กน۪ตสีโล

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู อติภทฺโท เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง”

ประวัติหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่

"พระครูสุภัททาจารคุณ" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร" ด้วยเป็นนามที่คุ้นเคยต่อการเรียกขานของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์

14/2/60

ประวัติหลวงปู่หลิว ปณฺณโก



ประวัติหลวงปู่หลิว ปณฺณโก วัดไร่แตงทอง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

หลวงปู่หลิว ปณฺณโก มีนามเดิมว่า “หลิว” นามสกุล “แซ่ตั้ง” (นามถาวร) บิดามีนามว่า คุณพ่อเต่ง แซ่ตั้ง มารดามีนามว่า คุณแม่น้อย แซ่ตั้ง ท่านเกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2448 ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีมะเส็ง) ที่หมู่บ้านหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกันทังหมด 9 คน เป็นชาย 5 คน เป็นหญิง 4 คน (มีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 1 คน มีน้องชาย 3 คน และน้องสาว 3 คน) ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัว
ครอบครัวของหลวงปู่หลิวอยู่ในชนบท ที่ห่างไกลความเจริญ บิดามารดามีอาชีพหลักคือ ทำนา ต่างคนต่างต้องช่วยกันทำมาหากินกันไปตามสภาวะ หลวงปู่หลิวในวัยเด็กมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิงทนที่จะไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กในวัยเดียวกันแต่หลวงปู่หลิวกลับมองเห็นความยากลำบากของบิดา มารดา และพี่ ๆ จึงได้ช่วยงานบิดา มารดา และพี่ ๆ อย่างขยันขันแข็ง ทำให้หลวงปู่หลิวเป็นที่รักใคร่ของบิดา มารดา ตลอดจนพี่ ๆ และน้อง ๆ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยมีความขยันขันแข็ง ทำให้หลวงปู่หลิวได้เรียนรู้วิชาช่าง ควบคู่ไปกับการทำไร่ ทำนา เพราะบิดานั้นเป็นช่างไม้ฝีมือดีคนหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่หลวงปู่หลิว จึงมีฝีมือทางช่างเป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านทั่วไป
ในบางครั้งหลวงปู่หลิว ท่านต้องไปรับจ้างคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมา ท่านต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานบางครั้งไปกลับใช้ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา บางครั้งทำให้ท่านถึงกับล้มป่วยไปเลยก็มี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงปู่หลิวมีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรมากมาย (เพราะหลวงปู่หลิวท่านมีลักษณะเด่นอยู่ในตัวคือ ท่านมี “ความจำ” เป็นเลิศ) นอกจากท่านจะเป็นช่างไม้ฝีมือดีแล้วท่านยังเป็นหมอยาประจำหมู่บ้านหนองอ้อ, ทุ่งเจริญ, บ้านเก่า และละแวกใกล้เคียงไปโดยปริยายใครมาขอตัวยากับท่าน ท่านก็ให้ไปทุกคน
ครอบครัวโดนรังแก
ในอดีตนั้นเขตภาคกลางโดยเฉพาะ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กล่าวกันว่าเป็นแดนเสือ ดงนักเลง มีโจรผู้ร้ายโด่งดังมากมาย คนหนุ่มทั้งหลายกลุ่ม หลายถิ่นต่างตั้งกล่มเป็นโจรผู้ร้ายปล้นจี้สร้างอำนาจอิทธิพลในพื้นที่ของตน คนบางกลุ่มก็ตั้งกลุ่มเพื่อปกป้องคุ้มครองถิ่นของตน ครอบครัวหลวงปู่หลิวเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มโจร ท่านได้พูดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “โยมพ่อโยมแม่และพี่ชายเป็นคนซื่อ ใจรมาขโมยวัว ขโมยควายก็มิได้ต่อสู้ขัดขืน ทำให้พวกโจรได้ใจทำให้วัดควายและข้าวของที่พยายามหามาด้วยความยากลำบากต้องสูญเสียไป อาตมาจึงเจ็บใจและแค้นใจ เป็นที่สุด แต่ทำอะไรมันไม่ได้”
ในบางครั้งโจรที่มาปล้นวัวควาย คุณพ่อเต่งและพี่ชายคนโดไม่เคยกล้า ที่จะเข้าขัดขวาง ขอเพียงแต่อย่าทำร้ายบุตรหลานก็เป็นพอ “ข้าวของเป็นของนอกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้”
หลวงปู่หลิวในช่วงนั้นก็เป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ก็ทวีความโกรธแค้นมากขึ้น จึงคิดหาวิธีปราบโจรผู้ร้าย อย่างเด็ดขาดให้ได้ อันเป็นการช่วยตนเอง และชาวบ้านให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายต่อไป

เข้าป่าเรียนอาคม

หลวงปู่หลิว ได้ชวนหลานชายผู้เป็นลูกของพี่ชาย และหลานชายผู้เป็นลูกของพี่สาว หนีออกจากบ้านไปแสวงหาอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ในดงกระเหรี่ยง เพื่อขอเรียนวิชาไสยศาสตร์ เพื่อนำมาปราบโจรผู้ร้าย ที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแทบทุกวัน ซึ่งหลานชายทั้งสองก็เห็นด้วย บนเส้นทางอันเป็นป่าเขาดงดิบด้านชายแดนไทย-พม่า มีป่าไม้รกทึบ อากาศหนาวเย็นด้วยจิตใจอันแน่วแน่ เด็กหนุ่มทั้ง 3 จึงรีบเร่งเดินทางให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด
ป่าดงดิบสมัยก่อนนอกจากจะรกทึบแล้ว ยังเต็มไปด้วยไข่ป่าอันน่าสะพรึงกลัว ในระหว่างการเดินทางหลานชายผู้ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายเกิดป่วยหนักด้วยโรคไข้ป่า ยารักษาก็ไม่มีเพราะไม่ได้เตรียมมา หลวงปู่หลิวจึงหยุดพักการเดินทางเพื่อรักษาไข้ป่าไปตามมีตามเกิด หลานชายทนความหนาวเหน็บและพิษของไข้ป่าไม่ไหว จึงได้สิ้นใจตายไปต่อหน้าต่อตาของหลวงปู่หลิวผู้เป็นอา และหลานอีกคน
ความรู้สึกในเวลานั้นทำให้พาลโกรธโจรผู้ร้ายมากยิ่งขึ้น ทางหลานชายเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนต้องมาตายจากไปจึงเกิดขวัญเสียไม่อยากเดินทางต่อไปตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ เพราะเกรงว่าหนทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก จึงเอ่ยปากชวนน้าชายกลับบ้าน แต่หลวงปู่หลิวได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะไม่กลับแน่นอน ถ้าไม่สำเร็จวิชา
หลังจากนั้นหลวงปู่หลิว ได้แยกทางกันกับหลานชายมุ่งหน้าสู่ดินแดนกระเหรี่ยง ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ เมื่อไปถึงมีชาวกระเหรี่ยงที่พอพูดไทยได้บ้างก็เข้ามาสอบถาม หลวงปู่หลิวจึงได้บอก ความต้องการให้เขาฟัง
หลวงปู่หลิวโชคดีได้พบอาจารย์หม่งจอมขมังเวทย์ชาวกระเหรี่ยง จึงได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนวิชาอาคมด้วย ท่านใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านั้นนานร่วม 4 เดือน ถึงจะได้เริ่มเรียนวิชากับอาจารย์หม่ง อาจารย์ชาวกระเหรี่ยงให้ความเมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาให้อย่างเต็มใจ ระหว่างอยู่กับอาจารย์ หลวงปู่หลิวมีความมานะบากบั่นช่วยงานทุกอย่าง จนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน สำหรับวิชาที่ได้ร่ำเรียนในขณะนั้นคือวิชาฆ่าคนโดยเฉพาะ เพื่อไปแก้แค้นโจรที่ลักวัวควาย หลวงปู่หลิวอยู่กับอาจารย์ชาวกระเหรี่ยงได้ 3 ปี กว่าจนถึงวัย 21 ปี ก็ศึกษาวิชาอาคมได้อย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเดินทางกลับผู้เป็นอาจารย์ได้กำชับอย่างเด็ดขาดว่าวิชาอาคมต่าง ๆ ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ ห้ามใช้จนกว่าจะถูกผู้อื่นทำรังแกทำร้ายอย่างถึงที่สุด เพราะมันเป็นวิชาฆ่าคน ท่านก็รับคำและเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยความมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาให้หมู่บ้านของตนจึงเดินทางกลับบ้าน เมื่อได้พบบิดา มารดาแล้ว หลวงปู่หลิวได้ลาท่านไปท่องเที่ยวอีกครั้ง
ใช้ควายธนูปราบโจรขโมยวัว
ในฤดูฝนปีถัดมา หลวงปู่หลิวได้กลับจากท่องเที่ยว มาช่วยบิดามารดาทำไร่นาที่บ้านเกิดอีกครั้ง วัวควายที่เคยเลี้ยงอย่างระมัดระวัง ก็ปล่อยให้มันกินหญ้าตามสบาย เขาทำมาหากินได้ไม่กี่เดือนมีเพื่อนฝูงที่สนิทคนหนึ่งแจ้งข่าวให้ทราบว่า โจรก๊กหนึ่งจะเข้าปล้นวัวควายเขาในเร็ว ๆ นี้ หนุ่มหลิวก็เตรียมรับมือทันที แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเตรียมตัวเช่นไร่ ทุกวันเขาทำตัวปกติมิได้อาทรร้อนใจกับเรื่องที่โจรจะเข้าปล้นกลางวันทำไร่ เลี้ยงควายไปตามเรื่อง ตกเย็นค่ำมืดกินข้าวกินปลาหากไม่มีเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเขาก็เข้านอนแต่หัววัน
อีกหลายสิบวันต่อมา คืนหนึ่งดึกสงัดเป็นวันข้างแรม ท้องทุ่งอันเวิ้งว้างมืดสนิทไร้แสงเดือน ท้องฟ้ามีแต่หมู่ดาวกลาดเกลื่นระยิบระยับไปทั่ว แต่ที่บ้านของหนุ่มหลิว มันเงียบแต่ไม่สงัด ร่างตะคุ่มหลายสายพากันเคลื่อนไหวเข้าใกล้เรือนที่มืดมืดของเขา ร่างเหล่านั้นมุ่งไปที่คอกวัวควายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคุมเชิงระวังภัยให้กับเพื่อน
ทันใดนั้น กลุ่มโจรที่เข้าไปเปิดคอกถึงกับตะโกนร้องอย่างตกใจ ระคนด้วยความหวาดกลัวแล้วแตกกระเจิงออกคนละทิศละทาง เสียงโวยวายร้องบอกให้เพื่อนหลบหนีดังขึ้นสลับร้องโหยหวนเจ็บปวด
เช้าตรู่ของวันใหม่ ท่านเอาวัวควายออกเลี้ยงตามปกติที่ไร่ แม้ว่ารอบบ้านจะมีร่องรอยเท้าคนย่ำอย่าสับสนและมีรอยเลือดกองเป็นหย่อม ๆ และกระเซ็นไปทั่ว เขาไม่ยี่หระวางเฉย เพียงแต่ก้มลงหยิบสิ่งหนึ่งที่หน้าคอกสัตว์ มันคือ รูปปั้นควายดินเหนียว ซึ่งเลอะไปด้วยเลือดเต็มเขาและหัวของมัน หรือว่าสิ่งนี้ คือ ”ควายธนู” ทำการขับไล่เหล่าโจรร้าย ไม่มีใครรู้นอกจากหนุ่มหลิวเพียงคนเดียว
ข่าวการใช้ควายธนุขับไล่โจรก๊กนั้นแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านและลือกันต่าง ๆ นานาว่าท่านเป็นผู้มีของดี ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีมิจฉาชีพคิดอยากลองของ ด้วยการซุ้มรุมทำร้ายด้วยอาวุธนานาชนิด แต่มีด ปืนผาหน้าไม้ที่รุมกระหน่ำไม่สามารถทำอันตรายท่านได้แม้แต่น้อย แถมการที่ท่านสู้แบบไม่ถอยทำให้คนร้ายวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน จากชัยชนะหลายครั้ง หลายหนต่อการรุกรานในรูปแบบต่างๆ สร้างความพอใจให้กับคนในหมู่บ้านบางรายถึงกับยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ แต่ก็มีชาวบ้านบางพวกกับมองว่าท่านเป็นนักเลงหัวไม้
ในที่สุดหลวงปู่หลิวก็ปราบโจรลงอย่างราบคาบ จนโจรหลายคนต้องมากราบขออโหสิ และบางคนก็มาขอเป็นศิษย์ นับแต่นั้นมาชาวบ้านก็มีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องหวาดผวาโจรผู้ร้าย บรรดาโจรผู้ร้ายหลายคนก็ได้กลับตัวกลับใจ ทำมาหากินด้วยความสุจริต อย่างชาวบ้านทั่วไป หลวงปู่หลิวได้กล่าวถึงพวกโจรขโมยวัวควายที่พ่ายแพ้ตนว่า “คนเราถ้าอยากจะชนะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่เมื่อเขายอมรับผิด ยอมกลับตัวกลับใจ เราก็ควรให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิดเป็นการให้ที่ประเสริฐและได้กุศลด้วย”

ชีวิตที่ยังไม่เปิดเผย
ภายหลังที่หลวงปู่หลิวได้ปราบโจรเป็นที่เรียบร้อย และชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุขแล้ว หลวงปู่หลิวก็ได้กลับมาทำไร่ ทำนาตามปกติ ตอนนี้ท่านได้แยกตัวออกมาทำงานของตัวเอง ท่านทำหลายอย่าง เผาถ่านท่านก็เคยทำ เก็บเห็นเผาะขายก็เคย รับจ้างทำไร่ก็เคย ตอนที่ท่านทำไร่นี่แหละ ท่านไปเจอแม่ม่ายคนหนึ่งชื่อ ”นางหยด” เกิดชอบพอกันขึ้นมา ก็เลยอยู่กินด้วยกัน และมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งคือ นายกาย นามถาวร ซึ่งเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่มีความรักเอื้ออาทรต่อกัน

สู่โลกธรรม


เมื่อหลวงปู่หลิวได้ใช้ชีวิตอยู่กับนางหยด ระยะหนึ่งแล้ว ได้สัมผัสกับกระแสแห่งความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ ความโลภ โกรธ หลง อวิชชา ตัณหา ราคะต่าง ๆ หลวงปู่หลิวเริ่มจับตามองความเป็นไปต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังคมทีละน้อย ๆ และความรู้สึกนั้นได้เพิ่มพูนมากขึ้น

จนกระทั่งหลวงปู่หลิวมีอายุได้ 27 ปี ได้เกิดความเบื่อหน่ายสุดขีด ในการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันตามสภาวะแห่งกิเลสตัณหา ราคะของชีวิตฆราวาส ซึ่งไม่ถูกกับนิสัยที่แท้จริงของตน คือรักความสงบชอบความสันโดษเรียบง่าย จิตใจของหลวงปู่เริ่มเองเอียงไปทางธรรมะธัมโม อยากจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา หลวงปู่หลิวจึงได้ขออนุญาตบิดา มารดา เพื่ออกบวชแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงาม ด้วยความปลาบปลื้มเป็นล้นด้น ที่ลูกชายจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

หลวงปู่หลิว ได้เข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี (ประมาณเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2475 ปีวอก) โดยมีหลวงพ่อโพธาภิรมย์ แห่งวัดบำรุงเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระอาจารย์ห่อ วัดโบสถ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “ปณฺณโก” อ่านว่า ปัน-นะ-โก

เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่หลิว ปณฺณโก ได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน เพื่อเล่าเรียนทางพระปริยัติธรรมและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานควบคู่กันไปทั้งยังความสะดวกสบายกว่าที่อื่น ๆ เพราะมีญาติพี่น้องให้ความอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด

ในพรรษาแรกนั้น หลวงปู่หลิวได้มีโอกาสใช้วิชาช่างช่วยท่านเจ้าอาวาสสร้างศาลาการเปรียญหลังหนึ่งซึ่งใหญ่มากจนสำเร็จ

ต่อมาอีก 4 เดือนท่านได้ช่วยปรับพื้นศาลาเสร็จอีก และยังได้สร้างกี่กระตุก (ที่ทอผ้า) อีก 50 ชุด เพื่อถวายให้กับวัดหนองอ้อ จึงนับได้ว่าหลวงปู่หลิวไม่เคยหยุดนิ่ง ท่านมีพรสวรรค์ทางเชิงช่างเป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับของครูบาอาจารย์ และญาติโยม ชาวบ้าน เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภายหลังจะเห็นได้ว่า การก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของหลวงปู่หลิวทั้งสิ้น

จากคุณ ไทยสมบัติ [ 24/11/2546 - 20:08:00 ]
ขอบคุณที่มา

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lew-hist.htm

หลวงพ่อปาน "ปราบคนทำคุณไสย์"



เรื่องนี้เล่าโดย:หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อปาน
วันหนึ่งเวลาเย็น มีลาวคนหนึ่งเดินมาทางหลังวัด เข้ามาอาศัยนอนอยู่ในป่าช้า คือมันมีกระท่อมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่งที่คนตายชื่อว่า ตาสุด เวลาตายแล้วเขาปลูกกระท่อมหลังนั้น เป็นที่เก็บศพ แต่ว่าขณะนั้นศพเผาไปแล้ว แต่ว่ากระท่อมเขาไม่ได้รื้อ เป็นที่อาศัยของพระเจริญสมณธรรม
พระที่เจริญกรรมฐานไปอยู่ที่นั่น เวลากลางวันกลางคืนตามแต่อัธยาศัย ลาวก็มา นอนอยู่ในที่นั้น จ้างเด็กตักนํ้าไปให้ ถังละ ๑ สตางค์ เมื่อลาวมาพักอยู่ในตอนเย็นเมื่อถึงเวลาตีสอง หลวงพ่อปานลุกขึ้นเรียกฉัน ฉันนอนอยู่ใกล้ๆ บอกให้ไปตามพระมาให้หมด ถึงตีสองแล้ว
ฉันก็ไปตามพระมา ไม่รู้ท่านประสงค์อะไรก็บอกว่า เมื่อพระมาครบถ้วนแล้ว
ท่านก็บอกว่า ดูอะไรนี่
ฉันมองเห็นตะขาบตัวเท่าแขนฉัน ขดกลมอยู่หน้าเตียงของท่าน ก็ถามว่าอะไรครับหลวงพ่อ ท่านบอกนี่แหละ "คุณคน"
ถามว่า ตะขาบเป็นคุณคนได้หรือครับ ตะขาบทำไมตัวโต
ท่านบอกเป็นตะขาบวิชา ไอ้ลาวคนนั้นมันทำฉัน มันจะฆ่าฉัน
พอท่านบอกเท่านั้น พระหนุ่มๆ ก็ทำท่าฮึดฮัด จะไปเล่นงานลาว
ท่านบอกไม่ต้อง กรรมของเขาให้เขารับไป อย่าไปทำเขา ถ้าทำแล้วมันบาป
ท่านบอกว่า ตะขาบตัวนี้เขาเสกมาให้กัดฉัน ถ้ามันกัดฉันได้ละก็ฉันตาย แก้ไม่ทันหรอกมั้ง พวกแกนี่แก้ไม่ได้ ไม่มีใครมีความรู้ แก้ก็ไม่ทัน แต่ว่าบังเอิญฉันตื่นขึ้นมาก่อน เห็น ตะขาบมันวิ่งมาด้วยความไว ฉันก็เลยใช้หวายขีดเส้นสะกัด มันก็หยุดอยู่แค่เส้นที่ฉันขีด แล้วฉันก็เอาหวาย วนๆ มันก็ขดไปตามหวายที่ฉันวง
ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ของ ๆ ใครก็ให้เขานะ เราไม่รับ เราไม่ได้ทำมานี่ แต่เมื่อเขาทำมาเราก็คืนให้เขา มันจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาตาย ท่านก็เอาหวายขีด วงย้อนกลับ คือคลายตัว ตะขาบก็คลายไปตามเส้นที่ท่านขีด เมื่อตะขาบตั้งตัวตรง คือคลายเป็นตัวตรงแล้ว ท่านก็เอาหวายเคาะกระดานข้างหลัง ตรง ๆ แต่ห่าง ๆ ตะขาบ ๓ ครั้ง ตะขาบก็หายปั๊บไปทันตา ในพริบตาเดียว ไม่รู้ว่าตะขาบไปอย่างไร ทั้ง ๆ กุฏิก็มีข้างฝา ปิดหน้าต่างประตูหมด แต่ตะขาบหายออกไปอย่างไร ไม่มีใครรู้
เมื่อตะขาบหายไปแล้ว ท่านก็สั่งว่ารีบไป ถามว่ารีบไปไหนครับ
ท่านบอก พวกเธอรีบไปที่ลาวนั่น หามมันมาหาฉัน ประเดี๋ยวมันจะตายเสีย มันจะแก้ไม่ทัน ของๆ มันเล่นงานมันเสียแล้ว พระทั้งวัดก็เฮโลไปที่ลาว ที่ไหนได้เจ้าลาวคนนั้น นอนร้องครวญครางฮือฮา บวมทั้งตัว
พวกเราก็รีบหามมาหาท่าน
ท่านก็ปล่อยให้ยังบวมอยู่อย่างนั้น ยังปวดอยู่อย่างนั้น แล้วท่านก็สอบสวนว่า
ตะขาบเธอทำมาใช่ไหม
ทีแรกเขาไม่รับ
ท่านบอก ถ้าไม่รับก็ตายเสียเถอะ เป็นของของเธอ ไม่ใช่ของของฉัน
ไอ้เจ้าลาวคนนั้นทนไม่ไหวก็บอกรับ รับว่าทำ
ถามว่า ทำทำไม
บอก จะฆ่าท่าน
ถามว่า จะฆ่าฉันทำไม
บอก จะฆ่าให้ตาย เพราะว่าทำมาทีไรก็แก้ได้ทุกที
ผลที่สุดท่านก็บอกว่า ถ้าหากเธอไม่ฆ่าฉัน ฉันจะไม่ตายเหรอ ฉันก็ต้องตายเหมือนกัน เธอจะฆ่าฉันให้มันบาปทำไม ในที่สุดลาวก็ขอให้ท่านแก้ ให้ท่านรักษาให้หาย ท่านก็บอกรักษาให้หายได้ แต่เธอต้องให้สัญญาก่อนว่า
๑. หายแล้ว เธอจะบวช
๒. เมื่อบวชแล้ว เธอจะละวิชาความรู้นี้ทั้งหมด ไม่ทำต่อไป
ถ้าเธอให้สัญญากับฉัน ฉันจะรักษา ถ้าเธอไม่ให้สัญญากับฉัน ฉันจะไม่รักษา เจ้าลาวคนนั้นดื้อแพ่งอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุด ก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ก็ยอมรับ เมื่อยอมรับท่านก็นำนํ้ามาขันหนึ่งมาทำเป็นนํ้ามนต์ เอามาพรมๆ แล้วให้ลาวคนนั้นดื่ม พอดื่มเข้าไปประเดี๋ยวเขาก็หาย ชักจะหายปวด บรรเทาปวดลงไป แล้วก็บอกว่า ชักจะปวดอุจจาระ
ท่านก็บอกว่า ให้ไปถ่ายอุจจาระที่กลางนอกชาน ให้ถ่ายร่องให้มันค้างดินอยู่ เราก็ไม่เข้าใจถามว่า หลวงพ่อทำไมทำอย่างนั้นละครับ มันสกปรก ท่านบอก ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวเธอจะเห็นของดี ไอ้ของที่ออกมาไม่ใช่อุจจาระ เป็นไอ้ตะขาบตัวเมื่อกี้
ผลที่สุดก็เป็นความจริง เมื่อเขาถ่ายอุจจาระมาแล้ว ท่านก็บอกให้เอาไฟไปส่องดู ก็ปรากฏว่าเป็นโซ่เส้นเล็กๆ ผูกลวดหนามไว้เต็ม เอาลวดหนามพันเข้าไว้ นี่ตะขาบเขาทำด้วยโซ่พันไปด้วยลวดหนาม ในเมื่อเข้าไปในตัวแล้วมันก็บาดลำไส้ พุง อวัยวะต่างๆ ท่านบอกว่า ของอย่างนี้เมื่อเข้าไปอยู่ในตัวแล้ว มันจะทำอันตรายเต็มที่ เพราะเขาทำเต็มที่ ถ้ามันขยายตัวเต็มที่เมื่อไหร่ อวัยวะภายในก็จะขาด เพราะมันทนต่อความถ่วงของเหล็ก หรือว่าทนต่อลวดหนามไม่ไหว
ก็เป็นอันว่าลาวคนนั้นก็ยอมรับ ก็บวช เมื่อหายดีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ไปนิมนต์ พระครูรัตนาภิรมย์ มาเป็นอุปัชฌาย์ บวชให้ และลาวคนนั้น ก็เลิกจากการปฏิบัติอย่างนั้น เพราะอาศัยที่เขาฝึกอย่างนั้นมีสมาธิสูงอยู่แล้ว เมื่อเวลาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อปานก็สอนให้เจริญพระกรรมฐาน รู้สึกว่าเขาทำได้ดีมาก ทำได้รวดเร็วมาก จนกระทั่งได้อภิญญา พรรษาเดียวนะเขาได้อภิญญา ๕ แต่ยังเป็นฌานโลกีย์ ทำอะไรต่ออะไรได้หมดทุกอย่าง เมื่อเขาทำได้แล้ว ฉันเองก็เข้าไปถามเขาว่า เสียดายความรู้เดิมไหม
เขาบอก ไม่เสียดาย แต่ว่าเสียดายเวลา เวลาที่ไปฝึกฝนความรู้เดิม ที่มันเป็นทางของบาป และ อกุศล ทำตนให้ตกไปในอบายภูมิ ถ้ารู้ว่าวิชาอย่างนี้มีเขาศึกษาเสียนานแล้ว แล้วเขาก็ได้อภิญญานานแล้ว เมื่อออกพรรษา เขาก็ขอลากลับ เพราะบ้านเขาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี
เขาบอกว่าเขาจะไปสอนลูกศิษย์ลูกหาเขาปฏิบัติตามนี้บ้าง และก็เพื่อนของเขาอีกหลายคน ที่ยังใช้วิชาความรู้เดิม รับจ้างทำคนให้ตาย รับจ้างทำคนให้ป่วยไข้ไม่สบาย เขาจะไปโปรดพวกนั้น ให้เลิกละจากกรรมประเภทนั้น ให้กลับมาประพฤติปฏิบัติในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
ก่อนที่เขาจะไป หลวงพ่อปานได้เรียกมาฝึกวิปัสสนาญาณ ๓ เดือน เมื่อท่านพอใจแล้วท่านก็ส่งไป ก็ปรากฏว่าพระองค์นั้นเป็นพระอภิญญา และมีวิปัสสนาญาณพอสมควร เมื่อไปจังหวัด อุบลราชธานี ก็ได้ไปสอนลูกศิษย์ลูกหา
ให้ได้อภิญญาสมาบัติกันมากมาย
เมื่อถึงเวลาที่ หลวงพ่อปานไหว้ครู วันเสาร์ ๕ เดือนไหนก็ตามถ้าข้างขึ้น ๕ คํ่า ตรงกับวันเสาร์ หรือวันเสาร์ ๕ หลวงพ่อปาน ท่านต้องไหว้ครูท่าน เขาก็พาลูกศิษย์ลูกหาของเขา สมัยนั้น ไอ้รถเรือมันก็ไม่ค่อยจะมี ต้องเดินกันมา ในระยะทางไกล จนกว่าจะถึงทางรถไฟรถยนต์
รถยนต์ก็หายาก ก็มีรถไฟเป็นส่วนมาก ต้องใช้เวลาตั้งเดือน ถึงจะมาถึงสำนักของอาจารย์ได้ เขาก็อุตส่าห์มากัน มากันในวันไหว้ครู รู้สึกมากันคราวละมาก ๆ ลูกศิษย์ของเขามีกี่คน เขาต้องพามาจนหมด เรียกว่าทุกคนต้องเก็บหอมรอมริบไว้ เพื่อวันเสาร์ ๕ เมื่อถึงวันเสาร์ ๕ ก็ต้องไหว้ครู ตามที่ครูบาอาจารย์กำหนดไว้ นี่รู้สึกว่าเคร่งครัดมาก
เป็นอันว่า วิชาหมอของท่าน ที่ท่านเรียนมานี่ เป็นประโยชน์มาก นอกจากจะรักษาคนไข้ให้หายแล้ว ยังได้ลูกศิษย์ลูกหาที่ดี ๆ สำเร็จอภิญญาสมาบัติก็มาก และเป็นนายช่าง เป็นอะไรต่ออะไรก็มี

9/2/60

ประวัติหลวงพ่อวัดดอนตัน อ.ท่าวังผา จ.น่าน


รวบรวมและเรียบเรียง
โดย.....อาทนีย์  ทองสถิตย์
หลวงพ่อวัดดอนตัน” อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน คนทางเหนือย่อมรู้จักท่านดี เพราะเครื่องรางของขลัง เหรียญ ผ้ายันต์ ของท่านดังมาก มีอานุภาพปกป้องคุ้มภัย ให้โชคให้ลาภดีสารพัด แม้กระทั่ง “วิทยุปักกิ่ง จีนแดง” เมื่อได้รู้กิตติศัพท์อานุภาพเหรียญ ผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตันเข้า ก็ได้นำไปกล่าวขวัญออกอากาศ ทั้งนี้เนื่องจากตอนที่พวกก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทางชายแดนจังหวัดน่าน ประมาณ ๒๐๐ คน ได้บุกเข้าโจมตีหน่วยงานของบริษัทอิตาเลียนไทย ที่ตำบลน้ำยาว อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ได้ก่อความสูญเสียทั้งชีวิตร่างกายของเจ้าหน้าที่และคนงานตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งก่อสร้างอย่างหนัก “แต่รถและคนที่มีเหรียญและผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตัน ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายทั้งๆ ที่ถูกยิง

“พระครูเนกขัมมาภินันท์” สนั่นหล้า
จิตแก่กล้า เวทพุทธา อาคมขลัง
จารเวทมนต์ พ่นเสก เอก พลัง
     ปรากฏดัง เป็นที่รู้ สู่หมู่ชน
“ยันต์ธงชัย” ไกรเกรียง เป็นเที่ยงแท้
“สามแหลม” แผ่ป้องผองภัย ให้ฉงน
“เมฆบังวัน” นั้นแกร่งกล้า มหามนต์
บันดาลดล “ดอนตัน-น่าน” ระบือนาม ฯ

ประวัติหลวงพ่อดอนตัน
พระครูเนกขัมมาภินันท์ หรือ หลวงพ่อวัดดอนตัน มีนามเดิมว่า บุญทา ใจเฉลียว เกิดวันที่ 5 มกราคม 2439 ณ.บ้านดอนตัน ตำบลศรีภูมิ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ในวัยเยาว์ท่านได้เล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พออายุได้ 14 ปี บิดานำไปฝากเป็นศิษย์วัดดอนตัน เพื่อเรียนหนังสือ อักษรธรรมล้านนา และสามารถศึกษาได้อย่างแตกฉาน เมื่ออายุครบ16 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 ณ.วัดดอนตัน โดย พระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา เป็นพระผู้ให้บรรพชา และเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า สามเณร สุทธวงศ์ ใจเฉลียว เป็นสามเณรจนอายุครบบวช
เมื่ออายุครบ 21 ปี ได้อุปสมบท ณ.พัทธสีมาวัดดอนตัน ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยพระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุปทะ วัดตาลชุม ต.ตาลชุม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพรมทพ วัดอัมพวัน ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2460 เมื่ออุปสมบทแล้วมีชื่อว่า พระสุทธวงศ์ ฉายา พุทธวํโส ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรมจนได้วุฒินักธรรมโทและสนใจศึกษาฝึกฝน ด้านพุทธาคม เวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์อีกด้วยต่อมาท่านได้อธิษฐาน สมาทานออกธุดงค์ เพื่อฝึกจิต สมาธิ ยกระดับภูมิจิตภูมิธรรม พบปะแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาฝากตัวเป็นศิษย์กับครูอาจารย์หลายสำนัก ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ท่านเคยผ่าน พิธีอาบแช่น้ำว่าน (หรือ“อาบขาง” ในภาษาล้านนา) มากถึง 7 หม้อ 7 อาจารย์ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาด้าน คงกระพันชาตรี ที่สืบทอดมีมาแต่โบราณกาล ท่านได้มุ่งมั่นฝึกฝน จนแตกฉานในด้าน เวท พุทธาคม อักขระเลขยันต์ การลงตระกรุดแบบต่างๆ ซึ่งท่านได้นำมาประยุกต์ใช้ และสงเคราะห์แก่สาธุชนทั่วไป ด้วยเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งท่านปกครองวัดดอนตัน นานถึง 61 ปี ได้รับการแต่งตั้ง เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระอุปัชฌาย์จนถึงสมณศักดิ์สุดท้ายเป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (รูปแรกของ คณะสงฆ์ จังหวัดน่าน) ราชทินนามที่ “พระครูเนกขัมมาภินันท์”
ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ.2523 เวลา 20.25 น. ณ.วัดดอนตัน สิริรวมอายุได้ 85 ปี 65 พรรษา
วัตถุ มงคลของหลวงพ่อวัดดอนตัน เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน ทั้งใกล้ไกลรวมถึง ในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องฯ ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางได้แก่ “เหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อวัดดอนตัน รุ่นแรก ปี 2514” เฉพาะพระเครื่องฯ ที่จัดสร้างรวมแล้วเกือบ 30 รุ่น (หรือ ประมาณ 45 เนื้อหา/ทรงพิมพ์) นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องราง เช่น ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ แบบต่างๆ ตระกรุดโทน ตระกรุดร้อยแปด ตระกรุดพับ ตระกรุดชุด ชนิดต่างๆ ลูกอมเทียนชัยฯเป็นต้น. พระเครื่องและเครื่องรางฯ ของหลวงพ่อวัดดอนตัน มีรูปแบบที่งดงาม คงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเชิงพุทธศิลป์ และมีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์มากด้วยประสบการณ์จนเป็นที่เล่าขานกันสืบมา แต่ด้วยวัตถุมงคลบางชนิด มีจำนวนการสร้างน้อย ณ.ปัจจุบันจึงหาดูได้ยาก.ด้วยเมตตาธรรม บารมีธรรม วัตถุมงคลต่างๆ ที่หลวงพ่อวัดดอนตันได้เมตตาปลุกเสก ล้วนแล้วได้รับความนิยมเลื่อมใส ศรัทธา ก็ด้วยบารมี เกียรติคุณทั้งด้านวัตรปฏิบัติตลอดจนเวทวิทยาพุทธาคม ของ “หลวงพ่อวัดดอนตัน” สมกับเป็น “สุดยอดพระเถราจารย์ของเมืองน่านและล้านนาตะวันออก ” โดยแท้ .....พระเถราคณานุสรณ์


เหรียญหลวงพ่อวัดดอนตัน รุ่นอยู่คง พ.ศ. 2517
เหรียญทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. มีหูในตัว หลังเหรียญประทับด้วยยันต์ครูตาราง 9ช่อง สร้างโดยคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตการทางแพร่ ปี 2517 เหรียญอยู่คง เป็นเหรียญที่มีประสบการณ์ด้านความแคล้วคลาด คงกระพัน อีกเหรียญหนึ่งในบรรดาวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เพราะในช่วง พ.ศ.2517 พื้นที่ใน จังหวัดน่าน เป็นเขตยุทธการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค) และเหรียญอยู่คงได้สร้างประสบการณ์ด้านแคล้วคลาด-คงกระพันในสนามรบสมรภูมิเลือด จนเป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ทำให้เหรียญรุ่น"อยู่คง" เป็นที่นิยมของนักนิยมพระเครื่องในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงและยอมรับในด้านประสบการณ์คงกระพันสมกับชื่อรุ่น"อยู่คง" เหรียญรุ่นนี้สร้างประมาณ 1,000 องค์ หลวงพ่อดอนตันปลุกเสกเดี่ยว ณ อุโบสถวัดดอนตัน จังหวัดน่าน


เหรียญหลวงพ่อวัดดอนตัน รุ่นงาใหญ่ พ.ศ.2518
เหรียญนี้เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ควรค่าแก่การหามาไว้บูชา เนื่องจากในการเข้าพิธีพุทธาภิเษกนั้นเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ เป็การเข้าพิธีพุทธาพิเศกพร้อมกับพระเเก้วมรกตจำลองฝังเพชรรุ่นวันวิสาขบุชาผ้ายันต์ธงชัยและเหรียญหลวงพ่อวัดดอนตัน พระอุโบสถ วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม วันที่ 24 พฤษภาคม 2518 เวลา 7.30 น.

พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์พิธีพุทธาภิเษก ประกอบด้วย
1.พระพรหมคุณาภรณ์ เจ้าคณะภาค 9วัดสะเกศ (ปัจจุบันคือสมเด็จพระพุทธาจารย์)
2.พระธรรมปิฎก (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) ปัจจุบันมรณภาพแล้ว
3.พระธรรมคุณาภรณ์ วัดอรุณราชวรารามปัจจุบันมรณภาพแล้ว
4.พระเทพโสภณ เจ้าคณะภาค14 วัดพระเชตุพลปัจจุบันมรณภาพแล้ว
5.พระราชปัญญาสุทธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ปัจจุบันมรณภาพแล้ว
6.พระราชวิมลมุนี เจ้าคระอำเภอลาดกระบัง วัดพระเชตุพล ปัจจุบันมรณภาพแล้ว
7.พระทัการคณิสร วัดพระเชตุพล
8.พระวิเชียรธรรมคุณาธรแลขานุการเจ้าคณะภาค14 วัดพระเชตุพน
9.พระอุดรคณารักษ์ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ปัจจุบันมรณภาพแล้ว
พระอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีฯ ครั้งสำคัญนี้มีหลายสิบองค์ อาทิเช่น สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดจักวรรดิฯจุดเทียนชัย หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.  หลวงพ่อเมี้ยน วัดพระเชตุพน กทม.  หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี  พระอาจารย์วีระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม. 6)หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี  หลวงพ่อเหมือน วัดกำแพง จังหวัดชลบุรี  หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก จังหวัดระยอง  หลวงพ่อทองอยู่วัดใหม่หนองพะอง จังหวัดสมุทรสาคร  หลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี  หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม  หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี  หลวงพ่อจ้วน วัดพระพุทธบาทเขารูปช้าง จังหวัดเพชรบุรี  หลวงพ่อมงคล วัดศรีมงคล(ก๋ง) อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านน่าน  พระอาจารย์พยนต์ วัดเกตุมดีศรีวราราม จังหวัดสมุทรสาคร  พระอาจารย์นคร วัดเขาอิตอสุคโต จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  พระอาจารย์กัสสปมุณี สำนักปิปพลิวนาราม ระยอง ฯลฯ
ที่สำคัญยังมีพระอาจารย์ที่ลงแผ่นเงิน แผ่นทองแดง และนั่งปรกให้พิเศษอีก อาทิเช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม  หลวงพ่อวัดดอนตัน วัดดอนตัน จังหวัดน่าน  หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยานิมิตร กทม.  พระอาจารย์ประเสริฐ วัดพระเชตุพน กทม.  พระอาจารย์มหาบรรจง วัดพระเชตุพน กทม.  พระอาจารย์เขียน วัดพระเชตุพน กทม.  หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี  หลวงพ่อแผ่ว วัดโตนดหลวง จังหวัดเพชรบุรี  หลวงพ่ออมฤต วัดเวฬุวราราม จังหวัเพชรบุรี
เมื่อวันที่16 มีนาคม 2519 ในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ เสด็จฯ ตรวจราชการ  ณ กองทหารชายแดน พัน ร.213 อำเภอปัว จังหวัดน่าน (ปัจจุบันรื้อเป็นเทศบาลตำบลปัว) หลวงพ่อวัดดอนตันได้จัดเหรียญและผ้ายันต์ รุ่นพญาครุฑแบกงาช้างดำ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายจำนวน 300 ชุด เพื่อพระราชทานแก่ ทหารตำรวจ  (ที่มา : http://www.taradpra.com/itemDetail.aspx?itemNo=670122&storeNo=6572)


เหรียญหลวงพ่อดอนตัน รุ่นยุทธภูมิตาพระยา พ.ศ. 2520
เหรียญหลวงพ่อดอนตัน รุ่นยุทธภูมิตาพระยา ทองแดงรมดำ แทบไม่ค่อยเห็นในสนาม รุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อทหารเสร็จศึกจากห้วยโก๋นและต้องไปรบที่ตาพระยา เลยของครูบาท่านทำเหรียญขึ้นเพื่อแจกให้กับทหาร “ทหารเสือนวมินทราชินี" ที่ไปปฏิบัติภาระกิจด้านการทหารในพื้นที่จังหวัดน่านในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2518-2519
เมื่อทหารจากค่ายนวมินทราชินี ในนามกองกำลังทหารจากค่ายนวมินทราชินี หรือรู้จักในนามทหารเสือนวมินทราชินี" สังกัดพัน3 ร.21 รอ. ซึ่งได้รับมอบหมายไปปฏิบัติภาระกิจด้านการทหารในพื้นที่จังหวัดน่านเสร็จศึกจากห้วยโก๋น (ในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2518-2519) และต้องไปรบที่ตาพระยา ใน พ.ศ.2520 หน่วยพัน 3 ร.21 รอ. ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจที่ อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบัน อำเภอตาพระยา อยู่ในเขตจังหวัดสระแก้ว) ด้วยเหตุนี้ผู้นำหน่วยพัน 3 ร.21 รอ. ในขณะนั้นได้เข้าพบและขออนุญาตหลวงพ่อวัดดอนตัน เพื่อจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อวัดดอนตัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปมอบให้กับทหารหาญที่เป็นกำลังพลของพัน 3 ร.21รอ. เพื่อมีไว้สักการะบูชาและเพื่อสร้างขวัญกำลังใจที่ดีในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ และเป็นที่ระลึกในการย้ายจาก จังหวัดน่าน ไปประจำการในท้องที่ อำเภอตาพระยา จึงเรียกเหรียญรุ่นนี้ว่า "รุ่นยุทธภูมิตาพระยา" ตลอดระยะเวลาที่กำลังพลของหน่วย พัน 3 ร.21รอ. ปฏิบัติหน้าที่ด้านยุทธการในเขตพื้นที่จังหวัดน่านในสมรภูมิรบที่มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงนั้น บรรดาทหารหาญต่างได้รับรู้ และได้ประจักษ์ในอิทธิบารมีของวัตถุมงคลของหลวงพ่อดอนตันหลายครั้ง และหลายสถานการณ์ จนเกิดความศรัทธา และเลื่อมใสในตัวของหลวงพ่อวัดดอนตัน และต่างสนใจเสาะหาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดดอนตันเผื่อมีไว้บูชาติดตัว


เหรียญรูปเหมือนกลมเล็ก รุ่นธรรมจักร พ.ศ.2522
เหรียญรูปเหมือนกลมเล็ก รุ่นธรรมจักร 2522 เป็นการดำเนินการจัดสร้างโดยพระอาจารย์ไพรินทร์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก หลวงพ่อดอนตันได้เมตตาอนุญาต และอธิษฐานจิตปลุกเสกให้ ณ อุโบสถวัดดอนตัน แล้วมอบให้อาจารย์ไพรินทร์ เพื่อไปมอบให้เจ้าหน้าที่ทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่ ที่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.9 ซม. พิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันเสาร์ ที่ 20 มกราคม 2522 โดยหลวงพ่อดอนตัน เป็นประธานจุดเทียนชัย และผู้ดับเทียนชัย คือ ท่านครูบาก๋ง



ที่มา : http://www.dohjournal.com



8/2/60

หลวงพ่อกลั่นย่นระยะทาง



เรื่องราวอิทธิปาฎิหาริย์เกี่ยวกับการย่นระยะทางของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ที่เล่าขานสืบกันมาว่า
ครั้งหนึ่งในงามนอุปสมบท ซึ่งเจ้าภาพได้นิมนต์พระญาณไตรโลก (ฉาย คงฺคสุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง และเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปเป็นพระอุปัชฌาย์ และนิมนต์หลวงพ่อกลั่น ไปเป็นพระกรรมวาจาจารย์ วัดที่อุปสมบทอยู่ตรงสถานีรถไฟบ้านม้า ซึ่งก็ห่างจากสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาไปเพียงสถานีเดียว
ซึ่งในการเดินทางสมัยนั้น มีเพียงทางรถไฟเท่านั้น แต่ขณะที่คณะของพระญาณไตรโลก (ฉาย) รอรถไฟอยู่ก็คอยมองดูหลวงพ่อกลั่นไปด้วย เพราะเชื่อว่าท่านต้องเดินทางโดยรถไฟขบวนเดียวกันนี้ หากพลาดก็ต้องรอขบวนอื่นอีกนานทีเดียว
ทว่าเมื่อรถไฟออกจากสถานีแล้วก็หาปรากฏร่างของหลวงพ่อกลั่นไม่ จนเมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีแล้ว จึงเห็นหลวงพ่อกลั่นเดินดุ่มๆ อยู่แต่ไกล ซึ่งพระญาณไตรโลก (ฉาย) ได้กล่าวขึ้นว่า
"เออ...อาจารย์กลั่น มั่วงกๆ เงิ่นๆ อยู่นั่นแหละ วันนี้ไม่ต้องฉันเพลกันล่ะ"
แต่เมื่อพระญาณไตรโลก (ฉาย) เดินทางมาถึงสถานีบ้านม้ามีเจ้าภาพมาคอยรับอยู่แล้ว เพื่อนำพาไปยังวัดที่จัดงานบวช ครั้นก้าวขึ้นบันไดก็เห็นหลวงพ่อกลั่นนั่งเอกเขนกเหงื่อชุ่มกายมีลูกศิษย์ลูกหาคอยพัดวี จีวรของหลวงพ่อกลั่นก็ถอดแขวนอยู่ที่ราว สอบถามได้ความว่า หลวงพ่อกลั่นเดินทางจากวัดพระญาติการาม มาถึงได้สักครู่หนึ่งแล้ว
พระญาณไตรโลก (ฉาย) เห็นอัศจรรย์ใจนัก ก็เมื่อออกจากสถานีรถไฟเห็นหลวงพ่อกลั่นเดินอยู่กลางทุ่งอยู่เลย เห็นจะเป็นอื่นมิได้หลวงพ่อกลั่นต้องย่นย่อระยะทางมาเป็นแน่ จึงได้อาราธนาให้หลวงพ่อกลั่นนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์แทน ส่วนท่านนั่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับหลวงพ่อกลั่น กับ "ปาฏิหาริย์" ดังเรื่องที่คณะปาหี่เร่ขายน้ำมันรักษาแผลน้ำร้อน น้ำมันลวก ที่เชิญชวนให้ผู้คนสนใจด้วยการแสดงการต่อสู้ด้วยดาบ พลอง และทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยการวางแผ่นศิลาบนร่างคน แล้วทุบด้วยค้อนปอนด์จนแผ่นศิลาแตก โดยคนมิได้รับบาดเจ็บเลย แล้วจบด้วยการแสดงรูดโซ่ที่เผาไฟจนแดง
ได้ผ่านมายังบริเวณวัดพระญาติการาม ได้ยินกิตติศัพท์ของสำนักดาบวัดพระญาติการาม ที่หลวงพ่อกลั่นได้ฝึกสอนลูกหลานชาวบ้านบริเวณวัด จึงได้ท้าประลองฝีมือด้วย ทว่าหลวงพ่อกลั่นทราบเป็นอย่างดีว่าคณะปาหี่คณะนี้ยากต่อการต่อกรด้วย จึงได้รับคำท้าประลองด้วยตัวหลวงพ่อกลั่นเอง
ถึงวันประลอง ครูมวยคณะปาหี่ ไม่อาจทำอะไรต่อหลวงพ่อกลั่นได้เลย ทั้งที่ใช้ไม่พลองในการต่อสู้ และหลวงพ่อกลั่นยืนนิ่งเฉยมีเพียงหวายในมือ ครั้งหลวงพ่อโต้กลับตามร่างกายของครูมวยล้วนเต็มไปด้วยรอยหวาย จนต้องยอมแพ้กราบขอขมาหลวงพ่อกลั่นไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อกลั่นยังได้ชื่อว่า มีเมตตามหานิยมเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่า ยามที่ท่านออกบิณฑบาตในตอนเช้าแต่เพียงลำพัง เพราะหลวงพ่อกลั่นมักเดินบิณฑบาตไปอย่างช้าๆ ไม่รีบเร่ง จึงไม่มีพระภิกษุสามเณรใดติดตามด้วย กว่าจะถึงวัดจึงสายตะวันโด่งทีเดียว
ตอนที่ท่านเดินมาถึงกุฏิ ยามนี้แหละที่เป็นช่วงชุลมุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรดาหมา แมว ต่างแห่มารับหลวงพ่อกลั่น มิเพียงเท่านั้นยังมีฝูงกาอีกฝูงหนึ่งที่โผมาหาหลวงพ่อกลั่น บางตัวเกาะบนบ่าหลวงพ่อเลยทีเดียว
เหล่าสัตว์พวกนี้ที่กรูหาหลวงพ่อกลั่น ด้วยเพราะทุกเช้าหลังกลับจากบิณฑบาตหลวงพ่อกลั่นจะต้องให้อาหารพวกมันก่อนทุกครั้ง จนเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว หลวงพ่อกลั่นจึงจะฉันอาหาร
บางครั้งถึงกลับมีลูกศิษย์นึกสนุก หยิบจีวรหลวงพ่อกลั่นขึ้นมาห่ม ทำทีเดินเหินในท่าทางของหลวงพ่อกลั่นกลับมายังกุฏิ แต่หามีอีกาตัวไหนโผบินเข้าหาไม่
เป็นที่สงสัยของเหล่าลูกศิษย์นัก
วัตถุมงคลของหลวงพ่อกลั่น นอกเหนือจากเครื่องรางของขลังแล้ว ยังมีเหรียญปั๊มรูปเหมือนรุ่นแรก ที่สร้างขึ้นในห้วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อปีพ.ศ. 2469
เป็นที่นับถือกันว่า เด่นทั้งเมตตามหานิยม และมหาอุด

โดย:สรพล โศภิตกุล

ประวัติหลวงปู่คร่ำ ยโสธโร



  "ท่านพ่อคร่ำ" ตามทีชาวบ้านย่านชายฝั่งทะเลตะวันออก เรียกขานกันนั้นท่านเป็นพระคณาจารย์ที่ได้รับความเคารพ
ศรัทธาอย่างสูงจากสาธุชนทั่วๆ ไปมานานเต็มทีแล้ว และยังเป็นท่านพ่อของบรรดาชาวเรือตังเกในย่านนี้ด้วยบางท่านที่เข้าถึง
กระแสแห่งรสพระธรรม เชื่อกันว่าหลวงปู่เป็นผู้ที่ล่วงพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง

          หลวงปู่คร่ำ หรือ พระครูสุตพลวิจิตร มีนามว่า คร่ำ อรัญวงศ์ เกิดที่บ้านตำบลวังหว้า อ.แกลง เมื่อวันพุธ แรม 10 ค่ำ
เดือน 11 ปีระกา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2440 โยมบิดา ชื่อครวญ โยมมารดาชื่อ ต้อย ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวน
พี่น้องทั้งหมด 4 คน หลวงปู่เป็นชาวเมืองแกลงโดยกำเนิด ซึ่งบรรพบุรุษได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านวังหว้ามานานหลายชั่วอายุคน
ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพในทางกสิกรรมเฉกเช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ในชนบทที่ไม่ทำสวนก็ทำนาเป็นหลักคือ
การทำสวนพริกไทย อันเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำกันแพร่หลายไม่แพ้ในเขตจังหวัดจันทบุรี เมื่อวัยเจริญขึ้นควรที่จะได้รับการศึกษา
โยมบิดามารดา ได้พาไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือ กับท่านเจ้าอาวาสวัดวังหว้า ซึ่งเวลานั้นหลวงปู่มีอายุราว 11-12 ปี เล่าเรียน
และปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อยู่ประมาณปีเศษจึงย้ายมาเรียนหนังสือที่วัดพลงช้างเผือกและพำนักอยู่ที่นั่น จนอายุได้ราว 15 ปี
ก็กลับมาบ้าน เพื่อช่วยเหลือเป็นกำลังของครอบครัวในการทำสวนพริกไทย แต่แล้วในปีนั้นเองได้เกิดอาเพทขึ้นบรรดาสวนพริก
ไทยในละแวกนั้น เกิดเหี่ยวเฉาตายเรียบทุกสวนสร้างความเดือดร้อนกันทั่วทุกครัวเรือนจนทำให้ทางบ้านของท่านเลิกการทำ
สวนพริกไทยหันไปประกอบอาชีพอื่นตั้งแต่นั้นกระทั่งหลวงปู่อายุครบ 20 ปี จึงคิดที่จะบวชเพื่อทดแทนพระคุณ อันเป็นขนบ
ธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาช้านานของชายไทยทั่วๆ ไปที่นับถือพระพุทธศาสนา คนที่ยังไม่เคยบวชเรียน สังคม
ชาวบ้านถือกันว่าเป็นคนดิบ ชนบทบางพื้นที่มีคำเรียกอันเป็นการแยกสถานภาพ ระหว่างผู้ที่ผ่านการบวชเรียนแล้ว กับผู้ที่ยัง
ไม่ใด้บวช เช่นคำว่า ทิด ซึ่งมาจากคำว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้มีปัญญา หรือนักปราชญ์ คำเรียกดังกล่าวนี้แตกต่างกันไปตามท้อง
ถิ่น ทางภาคเหนือและอีสานก็มีเช่นกัน

            พอถึงวันจันทร์แรม 14 ค่ำเดือน 7 ปีมะเส็ง จ.ศ. 1279 ตรงกับวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2460 จึงได้รับการอุปสมบท
เป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูสังฆการบูรพาทิพย์ (ปั้น) วัดทะเลน้อย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์เผือกวัดวังหว้า เป็นพระกรรม
วาจาจารย์ ได้นามฉายาว่า ยโสธโร หลวงปู่ได้ปฏิบัติเหมือนกับพระนวกะทั่วๆ ไป และตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้
ประโยคนักธรรมโท กับค้นคว้าตำรับตำราวิชาการต่างๆ จากนั้นจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนพระกรรมฐานและ
วิทยาคุณจากหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง หรือวัดเขาชากโดนซึ่งเชี่ยวชาญในด้านสมถะและวิปัสสนากรรมญานเป็นพระอาจารย์
บอกกรรมฐาน มีจิตตานุภาพและวิทยาคมขลัง เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น หลังจากได้ฝากตนเป็นศิษย์แล้วก็ตั้งหน้าศึกษาเล่า
เรียนอย่างจริงจัง จนบังเกิดความเชื่อมั่นในตนเองกับวิชาที่เรียนและเป็นที่พอใจของผู้เป็นอาจารย์

            ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ ออกจาริกธุดงค์เพื่อเป็นการทดสอบกำลังใจและฝึกฝนจิตให้เกิดสมาธิเข้าสู่วิปัสสนา
ญาณต่อไปได้เดินธุดงค์เพียรปฏิบัติอยู่เป็นเวลาพอสมควรจึงกลับสู่วัดวังหว้า นับตั้งแต่หลวงปู่คร่ำอุปสมบท ในเพศบรรพชิต
สืบทอดหลักพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดาถึงขณะนี้ได้ 76 ปี แล้ว ได้ใช้พระธรรมคำสอนอบรมบรรดาลัทธิหาริก
และสาธุชนผู้มีใจฝักใฝ่ในธรรมให้ยึดมั่นถือมั่นในหลักคุณธรรมแห่งความดี ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่ม
กาสาวพัสตร์ก็ปฏิบัติตนเป็นผู้สำรวมในศีลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่เหล่าบรรดาศิษย์ จะได้จดจำและปฏิบัติตน
ตามเยี่ยงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาจารย์ในส่วนที่ดี ด้านลูกศิษย์ของท่านมีมากมายหลายอาชีพ ตั้งแต่ข้าราชการระดับบริหาร
เศรษฐีตลอดจน กระทั่งผู้ใช้แรงงาน แต่ท่านก็ให้ความเมตตาโดยเสมอภาคกัน มิได้มีการแยกหรือแบ่งชั้นวรรณะซึ่งก็ได้สร้าง
ปิติและศรัทธาต่อบรรดาสาธุชนเหล่านั้น ที่มีอยู่ทุกภาคของประเทศ

            เมื่อราวปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2536 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงแรงงานและสวัสดิการ
สังคมเมื่อมีกระทรวงใหม่เกิดก็ย่อมจะต้องมีเจ้ากระทรวงหรือรัฐมนตรีว่าการ บรรดา ส.ส.ผู้ทรงเกียรติต่างก็หมายมั่นปั้นมือ
เพื่อจะได้เป็นเสนาบดีกันสักครั้งหนึ่ง และก่อนหน้าที่จะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง
แรงงานไม่กี่วัน นายเสริมศักดิ์ การุณ ส.ส.ระยอง กับ นายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.พิจิตร ได้พากันไปกราบหลวงปู่คร่ำให้หลวงปู่
เจิมหน้าผาก รดน้ำมนต์ เป่ากระหม่อมให้หลังจากนั้นไม่กี่วัน หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ไทยรัฐ พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเลยว่า "มนต์
หลวงปู่เฮี้ยน..." ปรากฏว่าท่าน ส.ส. ทั้งคู่ได้เป็นรัฐมนตรีเรียบร้อย

            จนกระทั่งมาอีกครั้งหนึ่งก็การแต่งตั้งอธิบดีตำรวจที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ กระเด้งกระดอนออกมาจากมติ
กตร. 2 ระรอกแล้ว ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการลงมติกันอีกครั้งวัดวังหว้าก็ปรากฏกายของท่าน พล.ต.อ. ประทินว่าที่อธิบดี
ตำรวจ เพื่อขอให้หลวงปู่คร่ำรอดน้ำมนต์ และเป่ากระหม่อมให้ เมื่อผลการแต่งตั้งออกมา ชื่อของ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
คือนัมเบอร์วันของกรมตำรวจจริงๆ ชื่อของลป.คร่ำ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงบุญบารมี เพราะความศักดิ์สิทธิ์อย่างเหลือเชื่อ

            ลป.คร่ำท่านเป็นพระที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอย่างไร้ขอบเขตจริงๆ ใครไปกราบไหว้ท่าน ท่านก็เมตตาเป่าหัว
ให้ ทำให้สารพัดผู้ที่ไปกราบท่านมีแต่ความปลื้มปิติซาบซึ้งในความเมตตาของหลวงปู่เป็นทวีคูณ ปัจจุบันนี้ด้วยวัยกว่า 97 ปี
ของหลวงปู่ จึงทำให้การต้อนรับหรือการเข้าไปพบท่าน ค่อนข้างจะต่างจากในอดีตเพราะสังขารท่านนั้นย่อมต้องการพักผ่อน
ก่อน แม้ว่าคนรอบข้างบอกว่าเดี๋ยว หลวงปู่เหนื่อยๆ แต่หลวงปู่ก็ยังเสมอภาคกับทุกคน

            ในด้านวัตถุมงคลของลป.คร่ำนั้นก็มีสร้างกันมาร่วม 30 ปีแล้ว สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านได้ไปกราบไหว้ลป.คร่ำ
วัดวังหว้า สุดยอดมหาเมตตาบารมีแห่งยุค เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ท่านและครอบครัว เทพเจ้าของชาวระยอง




แม้หลวงปู่คร่ำจะเป็นพระที่ไกลปืนเที่ยงแต่ก็ยังเป็นที่เคารพสักการะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
ลป.คร่ำ กับ พล.ต.อ. ประทิน สันติประภพ 
อดีตอธิบดีกรมตำรวจ
กริ่งมงคลจักรวาล - พระชัยวัฒน์มหามงคล

เหรียญอาร์ม รุ่นสรงน้ำ เสาร์ห้า ปี 2537





ผ้ายันต์พัดโบก รุ่นสรงน้ำเสาร์ห้า ปี 2537
ผ้ายันต์ลักษณะต่างๆ ของลป.คร่ำ เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมาก โดยเฉพาะผ้ายันต์พัดโบกนั้นขึ้น
ชื่อลือชาที่สุด ว่ากันว่าดีทางด้านพัดโบกเสนียญจัญไร สิ่งไม่ดีทั้งปวงให้พัดผ่านไป อย่าได้เข้ามา
ใกล้ ให้พัดเอาแต่สิ่งเป็นมงคลเข้ามาสู่ผู้บ้านเรือนผู้บูชา เวลาบูชาไม่ต้องใส่กรอบให้แขวนไว้ให้
ผ้ายันต์นี้เคลื่อนไหวได้ตามชื่อพัดโบก


ขอขอบคุณบทความจากหนังสือรวมภาพวัตถุมงคลของ หลวงปู่คร่ำ ยโสธโร อุรพงษ์ ระดมเพ็ง