ประวัติท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง...

ประวัติหลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ

พระครูพิพิธธรรมาธร(หวั่น กุสลจิตฺโต) โสภณ บุญสุข วัดคลองคูณ ตำบล คลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน จังหวัด พิจิตร...

ประวัติหลวงปู่ฮก

หลวงปู่ฮก รติน۪ธโร พระผู้เคร่งครัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่โทน กน۪ตสีโล

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู อติภทฺโท เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง”

ประวัติหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่

"พระครูสุภัททาจารคุณ" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร" ด้วยเป็นนามที่คุ้นเคยต่อการเรียกขานของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์

21/9/59

ประวัติหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ


ประวัติหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) (จนฺทสโร หมายถึง ผู้นำแสงสว่างมาสู่โลก ประดุจพระจันทร์ส่องสว่างยามราตรี) เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามตามสัญญาบัตรประกอบพัดยศสมณศักดิ์ว่า พระมงคลเทพมุนี ศรีรัตนปฏิบัติ สมาธิวัตรสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาส หรือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ เดิมชื่อ สด มีแก้วน้อย เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๒๔๖

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน ท่านนับเป็นองค์ปฐมบรมครูแห่งวิชชาธรรมกายในยุคปัจจุบัน
         
เริ่มเรียนหนังสือกับพระภิกษุผู้เป็นน้าชาย ณ วัดสองพี่น้อง แล้วมาอยู่ ณ วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ในความปกครองของพระอาจารย์ทรัพย์ ปรากฏว่าเป็นผู้สามารถเรียน-อ่านภาษาขอมได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้กลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย ด้วยความวิริยะอุตสาหะเพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง
         
เมื่อท่านอายุได้ 14 ปีโยมบิดาได้ถึงแก่กรรมลงท่านจึงรับภาระดูแลการค้าแทน ท่านฉลาดในการปกครอง ลูกเรือต่างก็รักนับถือท่านและเนื่องจากท่านเป็นคนขยันขันแข็งในการทำงาน อาชีพการค้าจึงเจริญขึ้นโดยลำดับ จนปรากฏในยุคนั้นว่า เป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง

วันหนึ่งเมื่อท่านนำเรือเปล่ากลับบ้านพร้อมเงินรายได้จากการขายข้าวผ่านลัดคลองเล็กซึ่งชาวบ้านเรียกว่า คลองบางอีแท่น มีโจรผู้ร้ายชุกชุมท่านนึกถึงความตายขึ้นมา และได้อธิษฐานจิตในขณะนั้นว่า ขออย่าให้ข้าพเจ้าตายเสียก่อนเลย ขอให้ได้บวชเสียก่อน เมื่อบวชแล้วจะไม่ลาสิกขา ขอบวชไปจนตลอดชีวิต การหาเงินเลี้ยงชีพนั้นลำบาก บิดาของเราก็หามาอย่างนี้ ต่างไม่มีเวลาว่างกันทั้งนั้น

ถ้าใครไม่รีบหาให้มั่งมี ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีใครนับหน้าถือตา เข้าหมู่เพื่อนบ้านก็อับอาย ไม่เทียมหน้าเขา บุรพชนต้นสกุลก็ทำมาอย่างนี้เหมือนกัน จนถึงบิดาเราและตัวเราในบัดนี้ ก็คงทำอยู่อย่างนี้ ก็บัดนี้บุรพชนทั้งหลายได้ตายไปหมดแล้ว

แม้เราก็จักตายเหมือนกัน เราจะมัวแสวงหาทรัพย์อยู่ทำไม ตายแล้วเอาไปไม่ได้ บวชดีกว่า ท่านบอกว่าเริ่มอธิษฐานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อตกลงใจบวชไม่สึกแล้ว จิตคิดเป็นห่วงมารดาเกิดขึ้น จึงขะมักเขม้นทำงานสะสมทรัพย์ เพื่อให้มารดาเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิต

การละสังขาล
         
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อท่านมีอายุย่าง ๗๕ โดยปี รวมพรรษาได้ ๕๓ พรรษา

พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ วัดบางเนียน

พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ วัดบางเนียน


พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ วัดบางเนียน พระเกจิเอกด้านจตุคามฯ
พระเกจิอาจารย์ อายุเกิน100ปี นับวันจะเหลือน้อยลงทุกที ทางสายใต้ก็มีรูปนี้ที่โด่งดังมาก ท่านมีนามคุ้นหูเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสมวัตถุมงคลสายใต้

"พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ" มักได้รับอาราธนานิมนต์ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก และกดพิมพ์นำฤกษ์วัตถุมงคลยอดนิยม "จตุคามรามเทพ" อยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่แถวภาคใต้ เพราะติดปัญหาเรื่องการเดินทาง

ความชราไม่เป็นปัญหากับหลวงพ่อเอื้อม วัดบางเนียนด้วยความเมตตาที่เปี่ยมล้น อยากให้คณะศรัทธามีวัตถุมงคลมากพุทธคุณไว้บูชา วัดใกล้หรือไกลหากจัดพิธีพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก พระเครื่องวัตถุมงคลแล้วทำใบฎีกานิมนต์มา ท่านไม่เคยปฏิเสธ บางครั้งศิษย์ของท่านเองต้องขอร้อง เพราะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ

ประวัติพ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ วัดบางเนียน
"1 ศตวรรษ 5 แผ่นดิน" พ่อท่านเอื้อม พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวท ทองทั้งแท่ง เพชรแท้แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เจ้าอาวาสวัดสุวรรณจัตตุพลปันนาราม (วัดบางเนียน) ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
ถือกำเนิด ณ บ้านเลขที่ 68หมู่ที่12ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ปีระกา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2449 หลังจบการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนใกล้บ้านแล้ว ประกอบอาชีพทำนาช่วยเหลือครอบครัว

พ่อท่านเอื้อม อุปสมบทเมื่ออายุ 65 ปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2514 เวลา 13.45 น. ณ พัทธสีมา วัดปากเชียร อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมีพระครูถาวรบุญรัต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมานิต มานิโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา "กตปุญโญ"

ตามประวัติพ่อท่านเอื้อม ก่อนอุปสมบทท่านเคยเป็นเสือเก่ามาก่อน และได้เคยปะทะกับท่านพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ต่างคนต่างมีวิชาสายสำนักเขาอ้อเหมือนกัน จนในที่สุดท่านทั้งสองคบหาเป็นสหายกัน

ต่อมาท่าน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้แนะนำให้ท่านไปบวชกับพ่อท่านคล้าย วัดจันดี

แต่หลวงพ่อคล้ายท่านชราภาพมากแล้ว จึงแนะนำให้ไปบวชกับพระรูปอื่น ก่อนบวชท่านได้บอกว่าถ้าบวชกับพระรูปไหนจะไปสึกกับพระรูปนั้น ในที่สุดท่านก็ได้อุปสมบทกับพระครูถาวรบุญรัต ในเวลาต่อมาท่านพระครูถาวรบุญรัตได้มรณภาพลง พ่อท่านเอื้อมจึงลาสิกขาไม่ได้ตั้งแต่นั้นมาจวบจนปัจจุบัน

การศึกษาพุทธาคม หลังจากอุปสมบทแล้ว พ่อท่านเอื้อมอยู่จำพรรษาวัดปากเชียรศึกษาข้อวัตรปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากนั้นได้จาริกธุดงค์ตามป่าเขา ขึ้นเหนือถึงประจวบคีรีขันธ์ ลงใต้สำนักอาจารย์เขาอ้อ ไปสุดชายแดนมาเลเซีย

ระหว่างธุดงค์ได้สร้างวัดตามสถานที่ต่างๆ รวมได้ 7 วัด ได้แก่ วัดท้ายทะเล อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช, วัดเนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช, วัดไสไท อ.เมือง จ.กระบี่, สำนักสงฆ์สะเดา อ.เมือง จ.ชุมพร, สำนักสงฆ์เขาวงแหวน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง, สำนักสงฆ์ควรเขาดิน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี และวัดบางเนียน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช กิตติคุณเป็นที่กล่าวขานเรื่องเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย

วัตถุมงคลเข้มพลังมากประสบการณ์ เช่น เหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2533 อายุ 82 ปี ตะกรุดผ้ายันต์ พระผง รูปหล่อบูชา เป็นต้น



พ่อท่านเอื้อม ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง ระหว่างธุดงค์ปักกลดตามป่า ถ้ำ และเดินข้ามภูเขาน้อยใหญ่รวม 69 ลูก การปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของพ่อท่านเอื้อมจึงเชื่อกันว่าพ่อท่านได้ บรรลุธรรมขั้นสูง นอกจากศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแล้ว พ่อท่านเอื้อมยังได้ศึกษาค้นคว้าทางไสยเวท และวิทยาคมทั้งศาสตร์อิสลาม พราหมณ์ ขอม และพุทธ มาตั้งแต่อายุ 16 ปีจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้พ่อท่านเอื้อมมีความรู้แตกฉาน ลึกซึ้งและแกร่งกล้าทางด้านไสยศาสตร์ เวทมนตร์ คาถา อาคม ในทุกด้าน 

"หลวงพ่อเอื้อม วัดบางเนียน"ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์เพชรน้ำหนึ่งของภาคใต้ ที่มีตบะบารมีอันสูงยิ่ง วัตถุมงคลที่พ่อท่านเอื้อมอธิษฐานจิตหรือปลุกเสกจะมีอิทธิปาฏิหาริย์และ ประสบการณ์ทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาด คุ้มครอง โชคลาภ และเมตตามหานิยม ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ที่นำไปบูชาจนนับครั้งไม่ถ้วน ศิษยานุศิษย์ ผู้ศรัทธาและบุคคลทั่วไปจึงเคารพนับถือศรัทธา แสวงหาวัตถุมงคลของพ่อท่านเอื้อมไว้บูชา และไปคารวะกราบไหว้พ่อท่านเอื้อมกันมากมายตลอดเวลา ปัจจุบัน "หลวงพ่อเอื้อม วัดบางเนียน" ได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิเอกอุด้านจตุคามรามเทพรูปหนึ่ง










27/7/59

ประวัติหลวงปู่แสน ปสนฺโน วัดบ้านหนองจิก


หลวงปู่แสน ปสนฺโน วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกษ เกจิแห่งอิสานใต้ อายุ109ปี

ชื่อเดิม ปู่แสน คุ้มครอง เกิดขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ปีวอก ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2451 เป็นบุตรของพ่อเอี้ยง คุ้มครอง และ แม่ผัน คุ้มครอง มี่พี่น้องต่างมารดาร่วม 6 คน หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ 3 (ปัจจุบันเหลือหลวงปู่ผู้เดียว) พื้นเพเป็นคนบ้างโพง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ขุขันธ์ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีษะเกษ) เมื่อครั้นยังเด็กหลวงปู่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรงและพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโพงในสมัยนั้นเลี้ยงดู จนได้บวชเณรที่วัดบ้านโพรง ระหว่างบวชเณรได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุมวัดปราสาทเยอใต้จนจบ ป.4 และได้เรียนตำราพระเวชจากหลวงพ่อมุมทั้งภาษาขอม ภาษาธรรมบาลี ระหว่างเป็นเณรก็ได้เที่ยวไปมาระหว่างบ้านปราสาทเยอใต้และบ้านโพง จนกระทั่งอายุ 21 ปีได้เข้าอุปสมบท ระหว่างเป็นพระก็ยังคงเรียนรู้วิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งอายุ 24 ปี ได้ลาสิขาบทออกมาเพื่อมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน หลังจากสึกได้บวชเป็นหมอธรรมขณะที่เป็นคาราวาส ระหว่างว่างเว้นจากการทำเกษตรกรรม หลวงปู่ได้ชักชวนเพื่อนๆหมอธรรมเดินทางไปเขมรเพื่อเรียนเพิ่มเติมที่จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และเมืองศรีโสภณ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคารมเป็นนายก ได้เข้าพบพระผู้ใหญ่และอาจารย์จากทางเขมรแล้วได้ร่ำเรียนมาไม่น้อย หลวงปู่ท่านกลับเลือกเรียนวิชาที่เกี่ยวกับช่วยเหลือผู้คน รักษาคน



ต่อมาพอหมดภาระทางบ้านหลวงปู่ได้กลับเข้าใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง โดยไปจำพรราที่บ้านกุดเสล่า อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ได้ธุดงค์ในเทือกเขาพนมดงรัก เป็นนิจ และเป็นพระที่อยู่อย่างสมาถะ ไม่มักมาก ไม่ยึดติด เป็นพระนักสร้าง ชาวบ้านกุดเสล่าจึงรักและศรัทธาท่านมาก ต่อมาหลวงตาวันพระที่เป็นสหายรุ่นน้องจึงได้ไปกราบนิมนต์มาช่วยสร้างวัด โดยเจ้าคณะอำเภอกันทรลักษณ์อนุญาตให้หลวงปู่ไปอยู่ที่วัดเป็นวัดที่สมบูรณ์แล้ว หลวงปู่จึงมาจำพรรษาที่วัดอรุณสว่างวราราม(วัดบ้านกราม) แต่ด้วยมักสมาถะ ปีต่อมาจึงย้ายมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์โนนไทย (วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่จำพรรษา 3 พรรษา ต่อมาได้จำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกเนื่องด้วยวัดจะร้างเพราะพระน้อย หลวงปู่จึงเข้ามาทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระเข้ามารับช่วงต่อ ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกเป็นเวลา 4 พรรษา โยมญาติพี่น้องเก่าจึงได้เดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพง วัดครั้นสมัยบวชเณรเนื่องจากวัดจะร้างไม่มีพระจำพรรษา เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีเมตตาแม้อายุจะย่างเข้า 93 ปีท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพงโดยรักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดในช่วงนั้น ด้วยพระเดชของหลวงปู่วัดใดที่จะร้าง เมื่อท่านไปจำพรรษาวัดใด วัดนั้นก็จะเต็มไปด้วยลูกวัด ในขณะที่จำพรรษาอยู่วัดบ้านโพงก็ได้ทำนุบำรุงวัดเชกเช่นวัดอื่น จนอายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพหลวงปู่จึงได้พาชาวบ้านไปนิมนต์หลวงปู่จากวัดบ้านโพงกลับมาจำพรรษาที่วัดหนองจิกจนถึงทุกวันนี้








ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ หลวงปู่แสน ปสนฺโน

ประวัติหลวงพ่อทอง สุทฺธสีโล วัดพระพุทธบาทเขายายหอม



หลวงพ่อทอง สุทธสีโล วัดพระพุทธบาทเขายายหอม จ.ชัยภูมิศิษย์เอก พ่อคูณ” แห่งวัดบ้านไร่

ประวัติหลวงพ่อทอง สุทฺธสีโล เด็กชายทองเกิดเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๙๒ บิดาชื่อนายบัว กล้าหาญ มารดาชื่อ นางภู กล่าหาญ บ้านเดิมอยู่บ้านโนนสูง ต.วังหิน อ.ประทาย จ.นครราชสีมา อุปสมบทที่วัดสระแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๑๔ ในขณะบวชเรียนที่วัดสระแก้ว ก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคูณ โดยหลวงพ่อคูณได้เห็นว่าพระทอง เป็นพระที่เงียบขรึม ไม่ค่อยพูด ค่อยจา และเป็นพระที่เรียบร้อย ว่าง่าย สอนง่าย และมีความตั้งใจฟังเมื่อหลวงพ่อกล่าวสอน เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน และปฏิบัติตามได้อย่างสม่ำเสมอ จึงได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคูณ ในการถ่ายทอดวิชา และพระคาถา รวมไปถึงการจารอักขระต่างๆ ในตะกรุด และเหรียญ หลวงพ่อคูณเห็นความตั้งใจเรียนของพระทอง พร้อมการหมั่นสาธยายมนต์ต่างๆ ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ เมื่อหลวงพ่อคูณเห็นว่า พระทองควรแล้วที่จะได้รับการถ่ายทอดในเรื่องการปลุกเสกพระหลวงพ่อคูณท่านก็ สอนให้หมดทุกอย่าง รวมไปถึงการนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตรมีกำลังแน่วแน่ ก่อให้เกิดอนุภาพต่อสิ่งที่ท่านกำลังอธิษฐานจิต ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงพ่อคูณท่านเห็นว่า พระทอง ควรแล้วที่จะต้องนำวิชาทีมีออกมาใช้บำเพ็ญประโยชน์ จึงได้ให้ร่วมปลุกเสกเหรียญ หลวงพ่อคุณ ปี ๒๕๑๗ 


หลวงพ่อทองจัดได้ว่าเป็นพระที่ไกล่ชิดหลวงพ่อคูณ และถือว่าเป็นพระอุปฐากรูปหนึ่ง ที่มีความไกล่ชิดหลวงพ่อคูณเป็นอย่างมาก ไม่ว่าหลวงพ่อคูณท่านจะเดินทางไปไหน จะย้ายไปจำพรรษาที่ใด ก็จะมีหลวงพ่อทองติดตามไปด้วยทุกที่ เรื่อยไป มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านไมตรี บุญสูง ได้นิมนต์หลวงพ่อคูณให้ไปจำพรรษาที่วัด หาดราไวท์ จ.ภูเก็ต หลวงพ่อทองก็ได้ติดตามไปจำพรรษาอยู่ด้วย เป็นเวลา หนึ่งพรรษา และก็ได้เดินทางกลับมาที่วัดสระแก้ว อีกครั้ง พร้อมหลวงพ่อคูณ และหลังจากนั้นก็ได้ติดตามหลวงพ่อคูณไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดชลบุรี จังหวัดลพบุรี อ.ชัยบาดาล จ.เชียงใหม่ และสุดท้ายก็มาจำพรรษาอยู่ทีวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และได้ช่วยพัฒนาวัดบ้านไร่ จนถึงปี ๒๕๓๓ หลวงพ่อคูณเห็นว่า พระดีๆอย่างนี้ ควรที่จะอยู่ช่วยงานศาสนา ในที่ห่างไกล และยังไม่พัฒนา จึงได้ส่งให้หลวงพ่อทองไปจำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทเขายายหอม อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ซึ่งก็เป็นวัดที่เงียบสงบ ร่มเย็น เหมาะอย่างยิ่ง ที่จะฝึกสมาธิและเจริญภาวนาพระคาถาต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมา และหลวงพ่อคูณ ก็ยังให้ลูกศิษย์ นำตะกรุดทองคำฝังแขน ตะกรุดโทน รวมไปถึงตะกรุดชายจีวร นำไปให้หลวงพ่อทอง ลงเหล็กจารอักขระให้ถึงบนวัดพระพุทธบาทเขายายหอม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งงานส่วนนี้น้อยนักที่จะมีท่านใดทำแทนหลวงพ่อได้ จึงนับได้ว่าหลวงพ่อทองเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อคูณรูปหนึ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อคูณเป็นอย่างมาก โดยศิษย์ยานุศิษย์สายหลวงพ่อคุณทั้งหลายต่างยอมรับเช่นกันว่า หลวงพ่อทองคือพระที่หลวงพ่อคูณไว้วางใจมากที่สุด โดยเหรียญรุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่ารุ่นใหม่


ส่วนใหญ่จะมีลายมือหลวงพ่อทองเป็นผู้ลงเหล็ก จาร ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ ๒๕๑๗ ๒๕๑๙ ๒๕๒๐ ๒๕๒๑ รวมไปจนถึงเหรียญยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเหรียญที่ออกวัดบึง วัดพายัพ วัดปรก วัดแจ้งนอก และวัดใหม่อัมพวัน ต่างก็นำไปให้หลวงพ่อทองเป็นผู้ลงเหล็กจารให้ทั้งนั้น และวัตถุมงคล ของทุกวัดที่กล่าวมานี้ จะต้องมีหลวงพ่อทอง ร่วมในพิธี พุทธาภิเษก ด้วยทุกวัด และรวมไปถึงวัตถุมงคล ของวัดบ้านไร่รุ่นล่าสุด คือกริ่งเทพวิทยาคม ที่ได้มีพิธีพุทธาภิเษกผ่านไปด้วยไม่นานมานี้ หลวงพ่อทองก็ได้ร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกด้วยตลอด ๙ วัน.... และปัจจุบันหลวงพ่อทอง สุทฺธสีโล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทเขายายหอม เมื่อปลายปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมานี้เอง สิริอายุ ๖๒ พรรษา ปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.วัดพระพุทธบาทเขายายหอม.com

26/7/59

ประวัติหลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ


ประวัติหลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ

ประวัติหลวงพ่อ พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดบางบ่อ ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการเดิมชื่อ ชาญ รอดทอง เกิดวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2457 ที่ตำบลเกาะไร่ อำเภอบางโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียนจบชั้น ป.5 จากโรงเรียนอภัยพิทยาคาร ( วัดแก้วพิจิตร) จังหวัดปราจีนบุรี กลับมาช่วยบิดามารดาทำนากระทั่งอายุครบบวชได้อุปสมบทที่วัดคลองสวน ตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ที่เป็นบ้านเกิด และไปจำพรรษาที่วัดนิยมยาตรา อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางบ่อ เมื่อ พ.ศ. 2510 และได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ. 2511 และได้เป็นเจ้าคณะอำเภอบางบ่อเมื่อ พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2541 ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางบ่อ ผลงานที่ได้ปฏิบัติตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสวัดบางบ่อ กระทั่งถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2548 ส่วนใหญ่ คือ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชพระเณรเป็นจำนวนมาก นับได้มากกว่า 5,000 รูป เนื่องจากท่านเป็นผู้มีคุณธรรมและปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย มีอัธยาศัยดีต่อทุกคนเสมอเหมือนกัน จึงเป็นที่นับถือ และเลื่อมใสศรัทธาแก่ประชาชนทั่วไปจะเห็นได้จากการบวชพระตามวัดต่างๆ ถึงแม้ว่าวัดนั้นจะมีพระอุปัชฌาย์อยู่แล้วผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อท่านยัง ได้นิมนต์ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ นอกจากนั้นยังได้ปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์เช่นการพัฒนาวัด อุดหนุนให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนรับกิจนิมนต์โดยไม่ปฏิเสธหากมี เวลา ปี พ.ศ. 2548 พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ มีอายุครบ 91 ปี 72 พรรษา เป็นพระครูชั้นพิเศษ ปัจจุบันท่านมีอายุ (3 เม.ย. 2553) 96 ปี 77 พรรษาไ ดัรับพระราชทาน ดำรงตำแหน่งท่านเจ้าคุณพระมงคลวรากร ใน วันที่ 5ธ.ค. 2551 ที่ผ่านมามีอาวุโสสูงสุด ยังมีสุขภาพแข็งแรงปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นปกติ เป็นที่นับถือของศิษยานุศิษย์ ทั้งในอำเภอบางบ่อ และใกล้เคียง 

/ ที่มาของข้อมูล สวัสดี สวัสดีบางบ่อ /




          พระปฏิบัติดี วิชาดีรูปต่อไปนี้คือ หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ อ.บางบ่อ สมุทรปราการ อายุ 92 ปี (ปัจจุบันอายุ 95 ปี) เป็นศิษย์ หลวงพ่อไผ่ วัดบางบ่อ ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน อีกที ท่านจึงรับวิชามาจากอาจารย์รุ่นต่อรุ่นเต็มที่ นอกจากนั้น หลวงพ่อชาญ ยังเรียน กัมมัฏฐาน 40 กอง จาก หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา...กัมมัฏฐาน เป็นวีธีฝึกจิตให้เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็เกิดปัญญา และมองได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง มี เกิด แก่เจ็บ ตาย สรุปคือ ไม่มีอะไรเลย เพื่อให้ ปลง และหลุดพ้น ...การเรียนกัมมัฏฐาน แบ่งเป็นหลายวิธี เช่น อสุภกัมมัฏฐาน(นั่งพิจารณาซากศพให้ได้คิดว่าก่อนนี้คือร่างกายที่เคยสวยงาม แต่ตายแล้วก็เหม็นเน่า) นอกนั้นยังมี กสิณ10, อนุสติ 10 ซึ่งล้วนเป็น อุบายพื้นฐาน ทำให้ จิตสงบ นำไปสู่นิพพาน... กัมมัฏฐาน 40 กอง เป็นพระปรีชาของพระพุทธเจ้าที่ทรงทราบกิเลสของพระสาวกว่าไม่เหมือนกัน บางรูปอยากแสดงฤิทธิ์ บางรูปอยากอยู่เงียบๆจึงมีวีธีให้เลือกตามอัธยาศัย แต่สุดท่ายก็ มุ่งพระนิพพานเหมือนกัน... หลวงพ่อชาญ ยังเรียน วิชาธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ จาก หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์ เรียกน้ำ-ห้ามไฟได้... นายนๆครั้งหลวงพ่อชาญจะสร้างวัตถุมงคลที่ดังคือ เสือแกะจากไม้พญางิ้วดำเพราะมีประสบการณ์ที่ปืนยิงไม่เข้า แต่ท่านสร้างวัตถุมงคลไว้น้อยและไม่เป็นวาระทุกวันนี้จึงหายาก ใครไปก็กราบขอพรท่านถือว่าสูงสุดแล้ว อย่าไปรบกวนท่านให้เหนื่อยสร้างโน่นสร้างนี่อีกเลย อายุตั้ง 92 แล้ว(ปัจจุบันอายุ 95 ปี)

ที่มาของข้อมูล หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2549 :สนามพระวิภาวดี ,กราบ 9 พระดีเป็นศิริมงคล สีกาอ่าง

จากใจผู้เขียน 
หลวงพ่อชาญ อิณมุตฺโต พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ พระมงคลวรากร หรือ หลวงพ่อใหม่ คืออริยะบุคลคนเดียวกันที่เรารู้จักกันในนาม หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ ท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านโดยแท้ เริ่มจากหลวงพ่อไผ่ท่านได้เรียนวิชากับหลวงพ่อปาน จากนั้น หลวงพ่อชาญก็เรียนวิชาจากหลวงพ่อไผ่ และยังเป็นศิษย์หลวงพ่อเหลือวัดสาวชะโงก เป็นศิษย์ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา เป็นศิษย์ หลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว การสร้างวัตถุมงคลของท่านนานๆท่านจะสร้างเป็นวาระสักครั้งหนึ่ง เช่นพระเหรียญและพระผง 80 ปี เหรียญนั่งเสือ เสือหล่อ เสือไม้แกะและ อื่นๆเป็นต้น แต่โดยส่วนมากญาติโยมจะมาขอสร้างท่านก็เมตตาอนุญาตให้จัดสร้าง หลวงพ่อชาญท่านเกิดในสมัย ร.6 ซึ่งในปัจจุบัน(3เม.ย. 2553) หลวงพ่อมีอายุครบ 96 ปี 77 พรรษาสุขภาพท่านยังแข็งแรง ยังรับกิจนิมนต์อยู่และยังเดินทางไปพุทธาภิเศกในวาระต่างๆอยู่เป็นนิจ หลวงพ่อจะนั่งรับญาติโยมตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวันกว่าๆแล้วท่านจะจำวัดและ จะรับญาติโยมอีกครั้งประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเป้นต้นไปจนถึงเย็น...
*** ฝากไปถึงญาติโยมทุกๆท่านที่เข้าหาหลวงพ่อ อย่ารบเร้าให้ท่านจารวัตถุมงคล นะครับ ขอให้บอกท่านว่า หลวงพ่อครับพุทธาภิเศกพระให้ด้วยครับ เท่านี้ก็พอ
**หมายเหตุ การเขียนข้อความหรือจัดทำเวบเพจนี้อาจมีข้อความบางข้อความหรือรูปภาพบางรูปที่ไม่ชัดเจนต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และไม่อนุณาตให้คัดลอกรูปภาพหรือนำFileภาพไปตีพิมพ์เพื่อจัดจำหน่าย หากท่านมีเจตนาที่ดีควรขออนุญาตก่อนทุกครั้ง.... (w_at_salaya / วัสศาลายา 086-6033678 ; w_at_loso@hotmail.com ) ขออนุโมทนาสาธุ ...ศิษย์




หลวงพ่อสักยันต์ หลายท่านที่เคยเคยเข้ากราบนมัสการหลวงพ่อจะสังเกตุว่าหลวงพ่อชาญท่านสักยันต์ที่ต่างๆของร่างกาย
หลวงพ่อเมตตาเล่า ให้ฟังว่าเหตุที่สักยันต์เพราะสัก "กันงู" เนื่อง จากพื้นที่บางบ่อและพื้นที่ใกล้เคียงในสมัยก่อนนั้นเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ประกอบกับมีเจดีย์เก่าเป็นจำนวนมากทำให้มีงูอาศัยอยู่ อย่างชุกชุม หลวงพ่อได้สักยันต์กันงูกับหมอเที่ยง ซึ่งเป็นฆารวาสเป็นบุคคลที่มีวิชาอาคมหรือมี่เรียกกันว่า หมองูเที่ยง หมองูเที่ยงเป็นคนบางบ่อมีอาชีพจับงูขายแขนทั้งสองข้างของหมองูเที่ยงจะสัก ยันต์กันงู แกจะนอนตามวัดหรือนอนในเรือ(ปัจจุบันหมอเที่ยงได้เสียชีวิตไปแล้ว และมีลูกคนหนึ่งที่บางบ่อ) แกจะร่องเรือมานอนที่วัดบางบ่อมีพระเณรรวมทั้งคนทั่วไปมาขอสักยันต์กันงูกับ หมอเที่ยง หนึ่งในนั้น มีหลวงพ่อชาญ(ตอนนั้นหลวงพ่อท่านย้ายมาวัดบางบ่อแล้ว)มาสักต์กันงูด้วย หมอเที่ยงแกเคยโดนงูกัดที่มือจนมือหงิกงอแต่แกก็ไม่ได้รับอันตารยถึงชีวิต ในสมัยก่อนหมอเที่ยงแกใช้เรือแบบที่เปิดท้องเรือได้(ไม่แน่ใจว่าเรียกชือ เรือว่าอะไร) พอแกจับงูเห่าได้แกจะขังรวมกันไว้ใต้ท้องเรือ วันดีคืนดีหมอเที่ยงจะเอางูที่ขังไว้เป็นจำนวนมากออกมาโยนลงน้ำ เพื่อให้งู(อาบ)เล่นน้ำ แล้วจับใส่เรือเหมือนเดิม ต่อจากนั้นหมอเที่ยงจะเอางูไปขายที่ เสาวภา" ทราบมาว่าในสมัยนั้นจะนำงูไปรีดพิษ เพื่อทำเซรุ่ม หลวงพ่อเล่าต่อให้ฟังว่า หมอเที่ยงเดิมคือ เสือเที่ยง เป็นสหายเดียวกับ เสือไท เสือหา เคยออกปล้นแต่ไม่เตยฆ่าใคร ...ไม่ทราบปั้นปลายชีวิตของหมอเที่ยงที่แน่นนอน



เรื่องเล่าประสบการณ์จริง
ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นใน หลวงพ่อชาญวัดบางบ่อ ขอพรอันศักดิ์สิทธิ์ขอหลวงพ่อดลบันดาลให้ผู้ที่เคารพ ศรัทธาหลวงพ่อพึงมีแต่ความสุขความเจริญเทอญ...

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าถึงนี้ได้เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านอาจเคยได้ฟัง เรื่องเล่าของหลวงพ่อปานวัดคลองด่าน
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้งหนึ่งมีโยมนำสำรับกับข้าวไปถวายที่วัดคลอง ด่าน(หลวงพ่อปานได้มรณะแล้ว)เมื่อพระฉันอาหารแล้วญาติโยมจะนำอาหารมานั่งรวม รับประทานกันก่อนแยกย้ายกลับบ้าน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งได้นั่งล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารครั้งเมื่อตักแกงหมู เข้าปากก็เคียวเหมือนโดนกระดูกหมูจึงคายออกมาดูปรากฏว่าเป็น เสือแกะ ที่มากินเนื้อหมูในแกง แกก็รีบอม กลับคืนใว้ในปากทันทีโดยไม่บอกใครและเอาใว้ตรงกระพุ้งแก้มจากนั้นแกก็รับประทานข้าวจนอิ่มแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ครั้นแกเดินทางกลับบ้านระหว่างทางได้มีพักพวกชวนตั้งวงดื่มเหล้ากัน แกก็เลยแวะนั่งดื่มด้วยได้สักพักหนึ่งแกก็พูดขึนว่าเมื่อ เช้านี้ข้าไปถวายปิ่นโตพระมา ที่วัดคลองด่านข้ามีเสือมาอวดพวกเอง ทุกคนต่างงงและพูดว่าเสืออะไร แกบอกว่าก็เสือแกะหลวงพ่อปานไง เพื่อนในวงถามต่อว่าแล้วตอนนี้เสืออยู่ใหน แกก็ตอบทันทีว่าข้าอมไว้ในปากของข้านี่ไงพร้อมกับคายออกมาให้เพื่อนๆดูปรากฏ ว่า มีแต่ความว่างเปล่า สร้างความประหลาดใจเป็นยิ่งนัก...เสือหายไปได้อย่างไรหลายท่านคงเคยได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์เสือของหลวงพ่อชาญนั่ง นอนเต็มหน้ารถมาบ้างแล้ว(โจรจะโขมยรถยนต์ครั้นเมื่องัดเปิดประตูเข้าไปก็พบเสือนั่งและนอนตรงหน้ารถ)อันนี้ข้าพเจ้าไม่มีข้อมูล

เรื่องของข้าพเจ้ามีอยู่ว่า
ครั้น เมื่อปี 2549 ข้าพเจ้าได้เช่าบูชาเสือโลหะของหลวงพ่อไปบูชาและแบ่งเพื่อนไปคนละตัว สองตัว เวลาผ่านไปเพื่อนโทรมาหาและเล่าให้ฟังว่า เอาเสือไปไว้ในห้องนอนและออกไปเที่ยวงานโดยที่ไม่บอกแม่ ครั้นแม่ตะโกนเรียกก็ไม่ตอบ(เพราะเจ้าตัวออกไปข้างนอก)แม่จึงเข้าใจว่าลูก นอนหลับจะต้องขึ้นไปปลุกที่ห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปในห้องแม่ของเพื่อนก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นคือเห็นเสือโคร่งตัวเขื่องนอนแผ่หลาบนที่นอน แม่ก็รีบโกยออกนอกประตูไปและรีบโทรหาลูกชาย
จึงทราบความจริงจากลูกว่าเช่าเสือมาจากเพื่อน(ตัวข้าพเจ้าเอง) เมื่อมีคนมาเล่าถึงประสบการณ์ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อจะพูดว่า ตาฟาด หรือคิดไปเองเสือจะไปอยู่หน้ารถหรือบนที่นอนได้อย่างไร เสืออยู่ป่าหรือสวนสัตว์โน่น......................>>>>>>

บทความเตือน(ภัย)ใจ
นับจากอดีตจนถึงปัจุบันท่านเจ้าคุณพระมงคลวรากร(หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ)ท่านได้มีความเมตตาต่อทุกๆท่านที่เข้าหาและขอความอนุเคราะห์ เรื่องต่างๆนานาจากท่านเสมอมาเช่น ขอทุนสมทบสร้างโรงเรียนและเสนาสนะต่างๆภายในวัดบางบ่อเอง และสถานที่อื่นๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านล้วนแล้วแต่มีพุทธคุณสุดเหลือคณานับ จากประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ปรากฏอยู่เสมอในอดีตที่เคยตีพิมพ์ทาง นิตยสารต่างๆก็มากมาย หากแต่ในปัจจุบันก็มีผู้คนไม่น้อยมาขอบารมีท่านจัดสร้างวัตถุมงคลท่านก็ เมตตาอนุญาต หากแต่ผู้เขียนเห็นว่าอันใหนผู้บริโภคเห็นสมควรก็สุดแล้วแต่ท่าน เพราะเงินท่านเอง หากแต่ท่านอยากทราบการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นใหม่ๆให้เรียนถามหลวงพ่อเอง อย่าได้หลงทางเป็นเหยื่อ...เขลา

ข้าพเจ้าในนาม...อยู่รับใช้หลวงพ่อมานานหลายปีทราบดีว่าหลวงพ่อท่านมีเมตา และบารมีสูงส่ง ด้วยบุญบารมีนี้ทำให้สาธุชนต่างหลั่งไหลมากราบขอพรท่านเป็นจำนวนมาก หากแต่มีผู้กล่าวอ้างเอยนามเล่าว่า...ก็สุดแล้วแต่ ครั้งเมื่อข้าพเจ้านำวัตถุมงคลของหลวงพ่อนำเผยแผ่ต่อสาธารณะชนก็ได้รับการ โจมตีว่าไม่ใช่วัตถุมงคลของท่าน ทั้งที่ข้าพเจ้าเช่าบูชาที่กุฏิของท่านเมื่อหลายปีก่อน ทั้งที่หลายปีก่อนนั้นวัตถุมงคลของท่านยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย นัก

ดังนั้นในนามตัวแทนผู้นิยมศรัทธา วัตถุมงคลของหลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ ขอย้ำให้ผู้เช่าหาวัตถุมงคลของท่านรุ่นต่างๆควรพิจารณาจากการจัดสร้างที่น่า เชื่อถือได้จริงๆ เพื่อเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการสะสมวัถุมงคลที่ทรงคุณค่าและมากพุทธคุณ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เวปไซค์โรงเรียนวัดบางบ่อ


25/7/59

ประวัติหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์


ประวัติหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ตำบลมะขามหย่ง  อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์  มีชื่อเสียงก็เป็นที่รู้กันในวงการพระเครื่องมานานแล้ว หากใครต้องการวัตถุมงคลประเภทเมตตามหานิยม ส่วนมากอยากได้พระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ มาครอบครอง  กิตติศัพท์เหล่านี้ จึงทำให้ท่านมีชื่อเสียง จนถึงกับเป็นที่รู้จัก และเคารพนับถือของสาธุชนทั่วไป โดยถึงกับวัดวาอารามต่างๆ ต้องนำชื่อของท่านไปตั้งเป็นชื่อของพระเครื่อง พร้อมกับเน้นหนักให้ญาติโยมรู้ว่า สร้างมาจาก "ผงของหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์"  จึงจะทำให้คนศรัทธาต้องการเช่านำไปบูชา  และคนที่มีวัตถุมงคลพระหลวงพ่อแก้วไว้ครอบครองจำนวนมาก อยากทราบว่า หลวงพ่อแก้ว มาจากไหน และมาสร้างวัดเครือวัลย์ได้อย่างไร หลังจากได้ค้นคว้าด้วยวิธีหลากหลาย  เช่น ห้องสมุด  เกจิอาจารย์วงการพระเครื่อง จึงทำให้ทราบว่า ท่านมาจากไหน และสร้างวัดเครือวัลย์ ตำบลมะขามหย่ง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ได้อย่างไร ตามข้อมูลดังต่อไปนี้

"หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์"จากหลักฐานที่ค้นคว้าได้ หลวงพ่อแก้วท่านถือกำเนิดมาจากครอบครัวของชาวประมงค์ ทางจังหวัดเพชรบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ.2337 เมื่อท่านมีอายุพอสมควรแล้ว บิดารมารดาของท่าน ก็ได้พาท่านไปฝากกับสมภารวัดในระแวกนั้น เพื่อให้ท่านได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ เพราะการศึกษาในสมัยนั้นยังไม่เจริญก้าวหน้า ต้องอาศัยเรียนจากวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ให้ความรู้ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้วิถีชีวิตของท่านได้เปลี่ยนเส้นทางจากชาวประมงค์ กลายมาเป็นเด็กวัด และภายหลังได้เป็นหลวงพ่อแก้วในกาลต่อมา ดังที่รู้จักกันของสาธุชนทั่วๆ ไป ถึงทุกวันนี้
ชีวิตในปฐมวัย ในระหว่างที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในวัดนั้น ปรากฏว่าท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยแตกต่างไปจากเด็กทั่วๆไป คือ แทนที่ท่านจะเกเรหรือซุกซนตามวิสัยเด็กทั่วๆไป แต่ตรงกันข้าม ท่านกลับมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนๆ ตลอดจนสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ที่อาศัยวัดเป็นอย่างดี ประกอบด้วยท่านเป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะและมีสติปัญญาอันชาญฉลาด ในการเรียนรู้วิชาการต่างๆ จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ครูสอนเป็นอันมาก ความแตกต่างที่ผิดไปจากวิสัยของเด็กนี้เอง ที่ทำให้สมภารเจ้าวัด เล็งเห็นว่า ถ้าเด็กคนนี้มีโอกาสบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นกำลังอันสำคัญแก่พระศาสนา ด้วยเหตุนี้เอง ท่านสมภารเจ้าวัดได้บรรพชาเป็นสามเณรแก้ว ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนมีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อมีอายุครบบวชแล้ว ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา อาศัยที่ท่านมีความเพียร ความอดทนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ท่านจึงมีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าคำสอนในพระพุทธศาสนาให้แตกฉานยิ่งขึ้น จึงได้เข้ามาศึกษาบาลีไวยากรณ์ ซึ่งตามภาษาโบราณ เรียกกันว่า เรียนหนังสือใหญ่ ที่กรุงเทพฯ จนมีความรู้ความสามารถ เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อท่านได้ศึกษาพระพุทธวจนะตามพระบาลี จนมีความรู้ความเข้าใจดีแล้ว อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มาตั้งแต่วัยเด็ก ประกอบกับท่านได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าอย่างขว้างขวาง เมื่อมีวิชาความรู้พอที่จะแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้แล้ว ท่านจึงตั้งใจจะจาริกแสวงบุญ โดยเผยแพร่พระพุทธวจนะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข และเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลกเป็นอันมาก เพื่อแบ่งส่วนกุศล ความรู้ ให้แก่ผู้ที่สนใจหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา ในสมัยนั้นตรงกับรัชกาลที่สอง ซึ่งวงการศาสนากำลังก้าวสู่ความเสื่อม ประกอบกับลัทธิศาสนาของประเทศทางฝ่ายตะวันตก ได้เข้ามาเผยแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาอย่างมากมาย เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนไทยลืมสัจจธรรมอันแท้จริงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำครั้งนั้นนับว่ามีอิทธิพลมากต่อสภาพบ้านเมืองของเราในขณะนั้น เมื่อเหตุการณเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่า ทางบ้านเมืองหรือในวงการพระศาสนาไม่มีการตื่นตัวแล้วไซร้ ศาสนาพุทธในประเทศไทย ก็คงถูกกลืนหายไปในเวลานั้นเป็นแน่ "หลวงพ่อแก้ว" ในฐานะที่ ท่านมีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง ซึ่งเราก็ได้ทราบกันดีมาแล้ว ท่านจึงตกลงใจในอันที่จะออกประกาศสัจจธรรมแก่ชาวโลก ประกอบกับท่านมีความประสงค์ที่จะท่องเที่ยวโดยการเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาความวิเวกทางกายและใจ ดังนั้น ท่านจึงเริ่มต้นธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ขึ้นเหนือบ้าง ลงใต้บ้าง โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ท่านต้องเผชิญกับความลำบากต่างๆ ถึงแม้ท่านจะต้องต่อสู้กับความหนาวเย็นของอากาศ สภาพแวดล้อมของธรรมชาติ ตลอดจนการกระทำ และความคิดเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ท่านก้ไม่ย่อท้อ มีจิตใจเด็ดเดี่ยว พร้อมเสมอที่จะเผชิญต่ออุปสรรคต่างๆ โดยท่านคิดว่า อุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องพิสูจน์กำลังใจว่าจะท้อถอยหรือไม่ ท่านอาศัยความเมตตา กรุณา ที่ท่านเจริญเป็นนิตย์ กับทั้งท่านมีหลักธรรมของพระพุทธองค์เป็นอาวุธ คือธรรมาวุธ พร้อมที่จะฟันฝ่าต่ออุปสรรคทั้งหลาย ให้ลุล่วงไปด้วยดีตลอดมา 

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2364 " หลวงพ่อแก้ว " ท่านได้ธุดงค์ผ่านมาทางภาคตะวันออก และได้มาพักแรมอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดชลบุรี ซึ่งในสมัยนั้น จังหวัดชลบุรี ซึ่งสมัยนั้นจังหวัดชลบุรี ยังเป็นป่ารกชัฏด้วยป่าไม้เบญจพรรณต่างๆ มองไปทางไหนก็พบแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของน้ำทะเล สาเหตุเนื่องมาจากผลของสงคราม ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทำการกู้   อิสรภาพนั่นเอง วัดวาอารามต่างๆ ที่ถูกทำลายก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟู ชาวบ้านที่อยู่ในถิ่นฐานนั้น ส่วนมากมีการศึกษาน้อย เพราะขาดการเหลียวแล จะเป็นด้วยวาสนาของชาวจังหวัดชลบุรีหรืออย่างไรไม่ทราบ ที่ทำให้ท่านธุดงค์ผ่านมาทางนี้ และด้วยเมตตาธรรมอันบริสุทธิ์ของท่าน ทำให้ท่านมีความคิดที่จะปลุกฝังญาติโยมในละแวกนั้น ให้เข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธองค์ จึงปักกลดอยู่ที่นั้น เพราะความน่าเลื่อมใสของท่าน ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างก็นำอาหารมาทำบุญ ส่วนชาวบ้านที่นิยมของขลัง เมื่อเห็นพระรุกขมูลมา และมีวัตรปฎิบัติแปลกว่าพระธุดงค์รูปอื่นก็เกิดความเลื่อมใส เข้าไปขอเครื่องรางของขลังกับท่าน ส่วนท่านเมื่อมีญาติโยมมาหาท่านก็เชื้อเชิญต้อนรับด้วยธัมมปฏิสันถาร เพราะท่านมีธรรมเป็นเครื่องให้ เมื่อใครเอ่ยปากขอของขลังจากท่าน ท่านก็ให้ของขลัง และของที่ให้ก็ดีจริงๆ อันประกอบไปด้วยบทคาถามหามนต์ขลัง เพราะการเดินธุดงค์ท่านจะหอบหิ้วเอาวัตถุของติดตัวมาด้วยนั้น ท่านคงหอบหิ้วไม่ไหวแน่ ท่านคงมีแต่บทคาถามหามนต์ขลัง เมื่อเขาออกปากท่านก็ให้ ตามหลักกตัญญูกตเวทิตาธรรม ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ คือให้คาถาบทภาวนา ระลึกถึงพระรัตนตรัย เมื่อญาติโยมในระแวกนั้นเกิดความเลื่อมใส ทำให้ท่านเริ่มบูรณะซากสลักหักพัง ของวัดร้างวัดหนึ่ง โดยได้รับความร่วมมือจากญาติโยมในละแวกนั้นเป็นอย่างดีจนพอใช้การได้แล้ว ท่านก็ได้ตั้งชื่อว่า " วัดเครือวัลย์ " คงถือเอานิมิตที่มีเถาวัลย์ปกคลุมอยู่มากมายก็ได้ หลังจากนั้น ท่านก็ได้อบรมสั่งสอนประชาชนให้เข้าถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จนมีผู้แสดงตนเป็นอุบาสก-อุบาสิกา เข้าถึงพระรัตนตรัย ส่วนผู้ที่มีศรัทธากล้าก็เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ท่านก็อบรมสั่งสอนด้วยหลักธรรมต่างๆ ตามภูมิธรรมของบุคคลนั้นๆ 

หลวงพ่อแก้ว ท่านเป็นพระที่มีคุณธรรมสูง มีคุณธรรมเป็นเวทย์มนต์ คาถาขลังและศักดิ์สิทธิ์ ท่านตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นภาคพื้นในจิตใจของท่าน จิตใจของท่านเปี่ยมไปด้วยความรัก และความสงสารในสัตว์โลก พลอยยินดีด้วยเมื่อเห็นเขาได้ดี และวางใจเป็นกลาง ไม่ดีใจและไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ อาศัยความที่ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาจิตสูงเช่นนี้ ท่านจึงชอบสร้างพระเป็นรูปพระปิดตา เพราะพระปิดตาแบบนี้เป็นสัญญาลักษณ์แห่งการไม่ดูไม่มองอะไร คือไม่เพ่งโทษ และหาโทษผู้อื่น ตั้งความเมตตาและกรุณา เที่ยงตรงต่อมนุษย์และสัตว์อื่นเสมอกันหมด ดุจดังพื้นแผ่นดินที่มั่นคง ไม่ยินดียินร้ายในของหอมและของเหม็นที่พวกมนุษย์ทิ้งลงแผ่นดิน ฉะนั้นหลวงพ่อแก้ว ท่านวางจิตเป็นกลาง ไม่รักคนนี้ เกลียดคนนั้น หรือชังคนโน้น ไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน ท่านถือหลักว่า ใครใคร่ลาภ จงได้ลาภ ใครใคร่บุญ จงได้บุญ ดังนี้



            วิธีสร้างผงของหลวงพ่อแก้ว การสร้างพระปิดตาหลวงพ่อแก้วนั้น ก็ไม่มีอะไรมากนัก โดยปกติแล้ว หลวงพ่อแก้ว ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยละเอียดรอบคอบเป็นปกติ ท่านเป็นผู้เห็นการณไกลคือ ในขณะที่ท่านสอนบาลีไวยากรณ์อยู่นั้น ท่านก็ได้เก็บเอาผงที่ลบจากอักขระเอาไว้ เพราะการสอนหนังสือในสมัยนั้นจะต้องเขียนต้องลบตัวอักขระบนกระดานดำจริงๆ และนิยมกันว่า ผงอักขระที่ลบจากการเรียนภาษาบาลี ซึ่งเขียนเป็นอักษรขอมที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านก็จะนำมาผสมกับผงพระพุทธคุณ หรือผงมหาราช เป็นต้น เมื่อเอาผงดินสอ และผงพุทธคุณรวมกันเข้าแล้ว ท่านก็เอาเกษรดอกไม้ต่างๆ ใบไม้ เปลือกไม้ และเนื้อไม้ มาบดให้ละเอียดเป็นผง แล้วจึงนำมาผสมกับผงอักขระ เอาน้ำข้าวมาคละเคล้าเข้ากับผง เพื่อทำให้เหนียว จนได้หล่อเป็นรูปพระ การผสมผงเพื่อสร้างเป็นรูปพระหลวงพ่อแก้วนั้น ท่านเอาผงคุณพระกับผงดินสอที่ท่านเขียนอักขระบนกระดานดำ เอาผงทั้งสองอย่างนั้นมาผสมกันเข้าไว้ แล้วเอาใบไม้ ที่เรียกกันว่า ใบไม้รู้นอนต่างชนิด เช่น ยอดสวาท เป็นต้น เอาเกษรดอกไม้บ้าง มาบดเป็นผงให้ละเอียด ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยดีแล้ว จึงเอาน้ำข้าวเหนียวมาผสมทำให้เหนียว จึงเอากดลงในแม่พิมพ์ ก็สำเร็จเป็นองค์พระ อนึ่ง ชีวประวัติของหลวงพ่อแก้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์ จังหวัดชลบุรีนี้ อาจจะไม่ตรงกับที่ท่านได้ยินได้ฟังมา เพราะประวัติของท่านอาจมีผู้จำมาคลาดเคลื่อน ซึ่งมีความผิดแปลกกันไปต่างๆ ตามที่ตนเข้าใจ ผู้เขียนได้เขียนตามคำบอกเล่าของคนหลายคน ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดและทราบประวัติของท่านได้ดี อีกทั้งเป็นผู้มีญาติพี่น้องที่เห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้นเล่าให้ฟัง ซึ่งพอมีหลักฐานพอเชื่อถือได้ และเรื่องราวปะวัติของท่านบางตอน มีเนื้อเรื่องลงเป็นอันเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อแก้วได้ล่วงลับไปแล้วนานแล้ว ชีวประวัติของท่านไม่มีผู้ใดได้บันทึกไว้เป้นลายลักษณ์อักษรที่แน่นอน อาศัยผู้เฒ่าเล่าต่อกันมา ฉะนั้น ชีวประวัติบางตอนอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง จึงหวังว่าหากตอนใดขาดตกบกพร่อง เพราะไม่ทราบหรือเข้าใจผิดพลาด หรือถ้าตอนใดเกิน ก็ขออย่าได้ลงโทษว่าเป็นผู้รู้ก่อนเกิดเลย เหตุที่จะเขียนก็เพื่อที่จะเล่าเรื่อง ให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจฟังไว้เท่านั้น และหวังว่าท่านที่ทราบประวัติของหลวงพ่อแก้วได้ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิง ได้โปรดแจ้งให้ทราบเป็นวิทยาทาน และเพื่อประวัติจะได้สมบูรณ์ขึ้น เพื่อความรู้และความเข้าใจดีของอนุชนภายหลัง ที่สนใจชีวะประวัติของท่าน หากผลดีอันจะมีบ้างในการเรียบเรียงชีวประวัติของท่าน ผู้เขียนขอน้อมอุทิศถวายแด่หลวงพ่อแก้วที่ทำให้วัดเครือวัลย์ จังหวัดชลบุรี เป็นที่รู้จักของสาธารณชนสืบต่อกันมา 

(  ข้อมูลดังกล่าวมาจากหนังสืออนุสรณ์ ทำบุญครบ ๑๐๐ ปี ของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จัดพิมพ์โดยพระชลธารมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม  ๒๕๑๙  พิมพ์ที่ โรงพิมพ์ชลวุฒิการพิมพ์ ถนนโพธิ์ทอง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี  )

หลวงปู่มหาโส กัสสโป แห่งวัดป่าคำแคนเหนือ ต.คำแคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น


หลวงปู่มหาโส กัสสโป แห่งวัดป่าคำแคนเหนือ ต.คำแคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

หลวงปู่มหาโส กัสสโป แห่งวัดป่าคำแคนเหนือ ต.คำแคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ละสังขารแล้ววันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ เมื่อเวลา ๑๒.๒๐ น. สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๓ เดือน ๘ วัน พรรษา ๗๙ (นับจากญัตติธรรมยุต)

มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต

ลูกหลานกราบขอขมาหลวงปู่มหาโส กัสสโป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี หากเคยประมาทพลาดพลั้ง ด้วยความขาดสติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง ทั้งอดีตหรือปัจจุบัน ลูกหลานกราบขอขมา ขอหลวงปู่มหาโส กัสสโป โปรดอโหสิกรรม และงดโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อความสำรวมระวังในการณ์ต่อไป และธรรมอันใดที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว ขอลูกหลานได้รู้ธรรม เห็นธรรมอันนั้นด้วยเทอญ...สาธุ

หลวงปู่พระมหาโส กัสสโป พระอริยสงฆ์กลางป่าบำเพ็ญสมณะธรรมกรรมฐานเป็นนิจ

◎ ประวัติและปฏิปทาโดยย่อ

หลวงปู่พระมหาโส กัสสโป นามสกุลเดิม ดีเลิศ เกิดเมื่อวันที่ วันจันทร์ ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๘ เวลาตี ๒

สถานที่เกิด คือ บ้านก่อ ต.หนองไข่นก อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โยมบิดาชื่อ เคน โยมมาดาชื่อ ค้ำ มีอาชีพทำนา ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๙ คน

ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ เมื่อมีอายุ ๑๙ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรกับหลวงปู่อุปัฌชาย์อ่อน ที่วัดบ้านก่อ(บ้านเกิดท่าน) เป็นการบวชหน้าไฟให้โยมมารดาซึ่งถึงแก่กรรมลง ตั้งใจจะบวชเพียง ๓ พรรษา แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ครบกำหนดแล้ว ก็ธรรมทำความรู้ในพระธรรมวินัยด้านปริยัติแตกฉาก จนสอบได้ นักธรรมตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอก ติดต่อกันมาทุกปี จนทำให้มีศรัทธาบวชต่อ

ถึงปี พ.ศ.๒๔๗๘ อายุครบ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา โดยมีพระอุปัชฌาย์อ่อน เป็นพระอุปัฌชาย์ที่วัดบ้านเกิดนั่นเอง และได้จำพรรษาอยู่ที่นั่น

หลวงปู่มหาโส กัสสโป ท่านไม่เคยพบกับหลวงปู่มั่นโดยตรง แต่ก็มีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูมพันธุโล) วัดป่าโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน และเป็นพระอุปัฌชาย์ผู้ญัตติเป็นธรรมยุติให้หลวงปู่ด้วย และท่านก็ยังมีท่านพระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน พระวิปัสสนากรรมฐานผู้เป็นเสาหลักใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นในขณะนั้น คอยสอนกรรมฐานให้หลวงปู่มหาโส เมื่อครั้งพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม พาหมู่คณะพระกรรมฐานมาจำพรรษาเพื่อเผยแผ่ธรรมะในจังหวัดขอนแก่น ระยะประมาณ พ.ศ.๒๔๗๒ - ๒๔๗๕ พระอาจารย์มหาสีทน ก็ได้ฝากหลวงปู่มหาโส และ หลวงปู่สิงห์ สุขปัญโญ (พระวิจิตรธรรมภาณี) อดีตเจ้าคณะ จ.อุบลราชธานี เป็นศิษย์พระอาจารย์สิงห์ด้วย
ล่วงเข้าปี พ.ศ.๒๔๘๐ ท่านได้กราบลาพระอุปัฌชาย์อ่อนออกเดินทางติดตามพระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน (ซึ่งเป็นญาติกันด้วย) โดยมีจุดหมายปลายทางที่ จ.อุดรธานี เมื่อเดินทางถึง จ.อุดรธานี หลวงปู่พระมหาสีทนได้นำท่านไปเปลี่ยนยัตติเป็นพระธรรมยุต ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณพระเทพกวี (จูม พันฺธุโล) ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัฌชาย์ มีพระครูสาสนูปกรณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อญัตติแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์

หลวงปู่พระมหาโส เป็นพระผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยปฏิบัติตามคำสอนขององค์ศาสดามาโดยตลอด ท่านแสวงธรรมทั้งในด้าน ปฏิยัติ(แสวงหาความรู้) ปฏิบัติ(แสวงธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า) ปฏิเวธ(แสวงหาธรรมด้วยปัญญาของตนเองเพื่อแสวงหาวิโมกติสุข) ถึงเวลาต่อมาในพรรษาที่ ๑๒ ท่านก็ได้แตกฉากบาลี จนสอบเปรียญธรรมสนามหลวงเป็น "พระมหา" ได้สำเร็จ และในปีเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดศรีหมากหญ้า อ.เมือง จ.อุดรธานีด้วย
แต่เป็นเจ้าอาวาสอยู่ได้เพียง ๔ ปี หลวงปู่มหาโส ก็สละตำแหน่งเจ้าอาวาส และออกธุดงค์ต่อเพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า"พ้นจากวัฏสงสาร"อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาต่อไป

หลวงปู่พระมหาโส กัสสโป เป็นศิษย์สายธรรมหลวงปู่มั่น และเป็นศิษย์ผู้พี่ของหลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต (ผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าท่านเป็นศิษย์หรือสหธรรมิกของหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตโต แต่ที่จริงไม่ใช่เพราะถ้านับพรรษาหลวงปู่มหาโสพรรษามากกว่าหลวงปู่ผางถึง ๑๐ ปี ในขณะที่ผู้คนรู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่ผาง หลวงปู่มหาโสยังคงธุดงธ์แสวงวิเวกอยู่ในป่า

ท่านนับเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกรูปหนึ่งชึ่งผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักท่านเท่าใด เพราะปฏิปทาท่านชอบบำเพ็ญหาความสงบทางจิตในป่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นับตั้งแต่อายุ ๗๐ ปี หลวงปู่พระมหาโสก็ไม่เคยออกจากวัดป่าคำแคนเหนือสู่สังคมทางโลกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน สมัยก่อนท่านธุดงค์บำเพ็ญเพียรที่หุบเขาต่างๆ เช่น ภูพาน ภูผาแดง ภูเม็งฯลฯ และตั้งสำนักสงฆ์ที่หุบเขาภูเม็ง แต่ด้วยอุบาสกอุบาสิกาที่ไปถือศีลเป็นไข้ป่า ต่อมาเมื่อท่านจึงตัดสินใจย้ายลงมาอยู่ที่เชิงเขาภูเม็งจนถึงปัจจุบันท่านก็ได้มาปักหลักสร้างวัดวัดป่าคีรีวันอรัญเขต (วัดป่าคำแคนเหนือ) ต.คำแคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ข่าวสารนี้ ทุกๆท่าน

facebook เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์ -หลวงปู่มั่น

https://www.facebook.com/mettathamma


11/7/59

ประวัติหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต



ประวัติหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

นามเดิมของท่านชื่อ ผาง ครองยุต เกิดในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๔๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนเก้า ปีขาล ที่บ้านกุดกระเสียน ตำบลกุดกระเสียน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
โยมบิดาชื่อ ทัน โยมมารดาชื่อ บับพา ครองยุต มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ บาง ซึ่งบวชเป็นชีอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต คนที่สองชื่อ คำแสน ส่วนตัวหลวงปู่เป็นคนสุดท้อง (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าท่านเป็นบุตรคนที่สอง)
คุณตาชื่อ ศรีมงคล คุณยายชื่อ เหง้า สำหรับคุณตานั้น เคยเป็นกำนันตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวั
อุบลราชธานี ทั้งคุณตาและคุณยายมีบุตรธิดาสืบสกุลด้วยกัน ๓ คน คือ
๑ คุณแม่บัพพา (โยมมารดาของหลวงปู่)
๒. คุณแม่ล้อม
๓. คุณแม่จอม
เชื้อสายของท่านมักจะไม่ค่อยมีลูกมาก อย่างมากก็มีลูกเพียง ๒-๓ คน เท่านั้น
ครอบครัวของท่านยึดอาชีพเกษตรกรรม คือ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ตามสภาพของท้องถิ่นในสมัยนั้นเป็นหลัก อาชีพอื่น เช่นค้าขาย เป็นต้นเป็นอาชีพรอง
การศึกษาทางโลกของหลวงปู่มีความรู้เพียงขั้นพออ่านออกเขียนได้ เนื่องจากในสมัยที่หลวงปู่ยังเยาว์วัยอยู่นั้น พระราชบัญญัติประถมศึกษา ยังมิได้ประกาศใช้ ผู้ประสงค์จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน จะต้องขวนขวายเอาเอง โดยการฝากตัวเข้าเป็นศิษย์วัดกับพระภิกษุที่อ่านออกเขียนได้ แล้วให้ท่านสอน
หลวงปู่มีอุปนิสัยรักความเป็นธรรม ถือความสัตย์ พูดจริงทำจริง รักธรรมชาติ ชอบความสงบ เมตตาสัตว์มีแนวความคิดสร้างสรรค์ และชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
พ.ศ. ๒๔๖๕ บวชครั้งที่ ๑
ในปีพ.ศ. ๒๔๖๕ เมื่อหลวงปู่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย ในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอุปัชฌาย์ดวน คุตฺตสีโล เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมีความรู้พอสมควร ต่อมาเมื่อออกพรรษาจึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศมาประกอบสัมมาอาชีพ
พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่งงาน
ครั้นอายุได้ ๒๓ ปีก็ได้สมรสตามประเพณีกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ ตำบลแดงหม้อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ครองเรือนมาด้วยกันอย่างราบรื่น แต่ไม่มีบุตรสืบสกุล จึงได้ขอบุตรของญาติพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมชื่อ นางบุญปราง ครองยุติ (บางแหล่งข้อมูลว่าชื่อ นางหนูพาน)
เมื่อครั้งยังอยู่ในเพศฆราวาส หลวงปู่เป็นคนขยัน เอาจริงเอาจังกับการงาน ได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา บางครั้งก็เป็นพ่อค้าเรือใหญ่ บรรทุกข้าวจากแม่น้ำมูลไปขายตามลำน้ำชีน้อย บางครั้งก็เป็นพ่อค้าวัว นำวัวไปขายที่เขมรต่ำ หลวงปู่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างฐานะให้แก่ครอบครัว
หลวงปู่ผางได้ใช้ชีวิตในเพศฆราวาสเป็นเวลานาน สามารถรอบรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา พิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและหมู่สัตว์ทั้งหลายบรรดามีในโลกเมื่อเกิดมาแล้วต่างก็สับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเป็นที่เดือดร้อนไม่สุดสิ้น
หลวงปู่คงจะได้สั่งสมบุญบารมีมามาก ทำให้ท่านมองเห็นความไม่แน่นอน และความไม่มีแก่นสารในชีวิต ทำให้จิตใจของท่านโน้มเอียงไปในทางแห่งความสงบ ท่านได้ทำทานเป็นการใหญ่ โดยได้ให้เกวียน วัว บ้าน ไร่ นา แก่ผู้อื่นสละทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น (บางแหล่งข้อมูลว่า ยกทรัพย์สินให้บุตรบุญธรรม คือนางบุญปราง ครองยุติ ซึ่งขณะนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว)
พ.ศ. ๒๔๘๗ บวชครั้งที่ ๒
หลังจากที่หลวงปู่ในเพศฆราวาสได้บริจาคทาน วัว ควาย ไร่ นา บ้านเรือนให้แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงและได้หันหน้าเข้าหาพระธรรม ดังนั้นประมาณปีพ.ศ. ๒๔๘๗ เมื่ออายุได้ราว ๔๒ ปี จึงได้ชวนนางจันดีผู้เป็นภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ส่วนหลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทในฝ่ายมหานิกาย ที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ปรากฏ ท่านได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า "จิตฺตคุตฺโต" อันมีความหมายว่า ผู้คุ้มครองจิตดีแล้ว นับเป็นการบวชครั้งที่สองของหลวงปู่

ประวัติโดยสังเขปพระครูศรีสุตาภรณ์
หลวงพ่อพระครูศรีสุตาภรณ์ (สี หรือ ตื๋อ พุทธสาโร) มีนามเดิมว่า สี กำเนิดที่บ้านคูขาด ต.ศรีสุข อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันพุธที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๔๓๗ (แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย) บิดาชื่อนายโกร่น ทองไทย มารดาชื่อ นางวรรณา ทองไทย มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๖ คน หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๔
บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๘ ปี ที่วัดบ้านคูขาด ๑ พรรษา แล้วลาสิกขาบท
เมื่ออายุ ๑๙ ปี ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ๒ ปี
พ.ศ. ๒๔๕๘ อายุ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทที่วัดบ้านคูขาด
พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๖๐ พรรษาที่ ๑ ถึง ๓ จำพรรษาที่วัดธาตุเทิง
พ.ศ. ๒๔๖๑ พรรษาที่ ๔ จำพรรษาที่วัดบ้านแวง สำนักพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
พ.ศ. ๒๔๖๒ พรรษาที่ ๕ จำพรรษาที่วัดภูผากูด ถ้ำคูหาวิเวก สำนักพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
พ.ศ. ๒๔๖๓ พรรษาที่ ๖ เป็นไข้ป่า กลับมารักษาตัว และจำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด
พ.ศ. ๒๔๖๔ พรรษาที่ ๗ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จำพรรษาที่วัดยม บางปะอิน
พ.ศ. ๒๔๖๕ พรรษาที่ ๘ จำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสเรื่อยมา
พ.ศ. ๒๔๗๕ พรรษาที่ ๑๗ ได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ในสองเขตตำบล คือตำบลศรีสุข และตำบลยางขี้นก
พ.ศ. ๒๔๘๔ พรรษาที่ ๒๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นประทวนที่ “พระครูศรีสุตาภรณ์”
พ.ศ. ๒๔๙๕ พรรษาที่ ๓๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านคูขาด
พ.ศ. ๒๔๙๙ พรรษาที่ ๔๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ในตำแหน่ง “พระครูศรีสุตตาภรณ์”
ท่านเป็นผู้นำชาวบ้านในการพัฒนาวัด ชุมชน ตัดถนน และสร้างโรงเรียนประชาบาล ๔ โรง ได้แก่โรงเรียนบ้านคูขาด (ศรีวิทยาคาร) , โรงเรียนบ้านโพนเมือง (สุขวิทยา) , โรงเรียนบ้านคำสมอ , โรงเรียนบ้านหนองเหล่า
พ.ศ. ๒๕๒๐ พรรษาที่ ๖๒ วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เวลา ๑๕.๓๕ น. ท่านได้ละสังขารด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๘๒ ปี ๖๒ พรรษา
ตามประวัติของพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) ที่พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีฌาปนกิจศพของท่าน เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๐ นั้น ได้ระบุว่า ท่านพระครูศรีฯ ได้เคยไปศึกษาปฏิบัติทางฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในสำนักพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ณ สำนักวัดบ้านแวง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในปีพ.ศ. ๒๔๖๑ และในพรรษาต่อมา ท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถระ ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดภูผากูด ถ้ำคูหาวิเวก จังหวัดสกลนคร แต่ในพรรษาถัดมาท่านเกิดอาพาธด้วยโรคไข้ป่า จึงกลับมารักษาตัวและจำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด
ซึ่งแสดงว่าท่านพระครูศรีสุตตาภรณ์ นั้นเป็นศิษย์ยุคต้นๆ สายมหานิกาย ของท่านพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น ดังนั้นเมื่อท่านได้ทำการอุปสมบทให้กับพระภิกษุผางแล้ว ท่านก็อยากจะให้พระภิกษุผางได้เข้าศึกษาและปฏิบัติพระกรรมฐานตามแบบอย่างที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ และ พระอาจารย์มั่นในครั้งก่อน
แต่ท่านก็ทราบดีว่าการจะเข้าศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ไม่ใช่นึกอยากจะเข้าไปกราบขอถวายตัวเข้าเป็นศิษย์นั้นก็จะทำได้ตามใจชอบ เพราะท่านพระอาจารย์มั่นท่านเคร่งครัดเรื่องการคัดเลือกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ประสงค์จะเข้าเป็นศิษย์ของท่าน ก็ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเป็นอย่างดีเสียก่อน
ในพรรษาแรกของหลวงปู่ผางท่านจำพรรษาที่วัดคูขาด โดยท่านพระครูศรีสุตตาภรณ์ได้อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเบื้องต้น
ประจวบเหมาะกับในปีนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ท่านพำนักอยู่ที่จังหวัดอุบล เกิดอาพาธหนัก ถึงขนาดฉันอาหารไม่ได้ ต้องถวายอาหารทางเส้นเลือด ท่านจึงเรียกพระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าไปปรึกษาหารือเพื่อหาทางบำบัดโรคในทางธรรมปฏิบัติ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกอันดับ ๒ ของสมเด็จฯ จึงได้มาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่ออุปัฏฐากสมเด็จฯ โดยได้พำนักอยู่ที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ ปีนั้นเป็นปีเดียวกับที่พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล น้องชายของท่านซึ่งได้ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่จังหวัดปราจีนบุรีอยู่ ๕ พรรษา ได้กลับมาจังหวัดอุบลฯ เนื่องจากอาพาธด้วยโรคปอด รักษาไม่ทุเลา จึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิด
พ.ศ. ๒๔๘๗ ไปศึกษาและปฏิบัติธรรม
กับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เมื่อพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) ได้พิจารณาดังนั้นแล้ว เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงได้แนะนำให้พระภิกษุผางไปศึกษาและปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์สมิทธีราจารย์) และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดธรรมยุติกนิกาย
พ.ศ. ๒๔๘๘ ญัตติเป็นธรรมยุต
เมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ได้รับพระภิกษุผางไว้ในสำนักแล้ว ท่านก็เห็นว่าเพื่อความสะดวกในการที่พระภิกษุผางซึ่งเป็นพระมหานิกาย จะประกอบสังฆกรรมกับหมู่คณะจึงดำเนินการให้พระภิกษุผางญัตติเป็นธรรมยุต ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ณ วัดทุ่งสว่าง บ้านโนนใหญ่ ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูพินิจศีลคุณ (พระมหาอ่อน) เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อหลวงปู่ผางได้รับการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านก็เข้ารับการอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ต่อไป
ต่อมาพระมหาปิ่น ที่ได้อาพาธด้วยโรคปอด เมื่อกลับจากจังหวัดปราจีนบุรี มาอยู่ที่อุบลฯ รักษาอยู่ ๒ พรรษา ไม่หายและได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อจัดการงานศพพระมหาปิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์สิงห์ก็กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
ก่อนที่ท่านพระอาจารย์สิงห์จะออกจากวัดป่าแสนสำราญ ไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาที่ท่านสร้างขึ้นนั้น ท่านได้แนะนำให้พระภิกษุผางไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ดังนั้นพระภิกษุผาง จึงประสงค์จะไปรับโอวาทธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่ ซึ่งขณะนั้น พำนักอยู่ ณ เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ (ปัจจุบันคือ "วัดป่าภูริทัตตถิราวาส" อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร)
พ.ศ. ๒๔๘๙ ธุดงค์ไปหาท่านพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่จึงธุดงค์จากจังหวัดอุบลราชธานีเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ขึ้นไปทางจังหวัดมุกดาหารและนครพนม แวะกราบนมัสการพระธาตุพนม และจาริกไปยังจังหวัดสกลนคร โดยการเดินเท้าตลอดเส้นทาง หากพบสถานที่แห่งใดเหมาะสมแก่การภาวนา และมีหมู่บ้านที่จะบิณฑบาตได้อยู่ไม่ไกลนัก ท่านก็จะพักสักระยะ แล้วเดินทางต่อไป จนกระทั่งมาถึงภูผาซาง
หลวงปู่หลงทางอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายวัน จนไม่ได้ฉันอาหารใดๆ เลย ร่างกายจึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที ทว่าท่านไม่เคยย่อท้อมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะไปฟังธรรมจากพระอาจารย์ใหญ่ให้ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม
“ก็อาศัยแต่ฉันน้ำในกา ไม่ใช่ฉันจนอิ่ม คือจิบเอาทีละน้อยๆ อดอาหารหลายๆ วันก็เคยอดมาแล้ว กลัวทำไม ยิ่งอดยิ่งภาวนาดี”
จิตใจจึงมีความอิ่มเอิบ ปีติในธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีความเบิกบานตลอดเวลา แต่เมื่อนานวันเข้าน้ำในกาก็หมดไป
“เอ้า! น้ำหมดแล้วจะทำยังไงดี เดินแวะขึ้นป่าลงหุบเขาตรงไหนที่พอจะมีน้ำบ้าง น้ำสักหยดก็ไม่มี ล้าก็ล้า เหนื่อยก็เหนื่อย หิวน้ำก็หิว ฉันน้ำปัสสาวะตัวเองนี่แหละ”
เมื่อหลงป่าอยู่นานหลายวัน ต่อมาแม้แต่น้ำปัสสาวะก็ไม่มีให้ฉัน ร่างกายของท่านขาดน้ำและอ่อนเพลีย ต้องแบกบริขารทั้งบาตร กลดและกาน้ำ
“ร่างกายยามนี้ ถือหรือแบกอะไรมันช่างหนักไปหมด ตายแน่ๆ ตายอยู่กลางป่านี้แน่ๆ เราทอดอาลัยตายอยาก ตายก็ตาย จะตายทั้งทีอย่าให้ร่างกายเน่าทิ้งเสียเปล่า ปักกลดนั่งภาวนากลางทางเสือทางช้างป่าผ่านนี่แหละ”
ทอดอาลัย ... ภาวนา ตายๆ ๆ สู้
ในยามพลบค่ำของคืนเดือนหงาย ท่านจึงได้ปักกลดภาวนา ณ สถานที่อันเหมาะสม กลางดึกคืนนั้นเอง หลังจากไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาแล้วก็ภาวนาอยู่ในกลด ด้วยคิดว่าตนเองคงจะต้องตายในคราวนี้แน่นอนแล้ว จึงรำพึงในใจว่า
“คราวนี้เป็นคราวที่เราจนตรอกจนมุมแล้ว หลงทางอยู่กลางป่ากลางดงคนเดียว ไม่มีใครมาช่วย คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งกลางป่านี้แน่ๆ ได้ยินว่าในป่าเขามีเทวบุตรเทวดาอยู่มาก ทำไมไม่เห็นมาช่วยบ้าง ไม่สงสารพระธุดงค์ผู้หลงทางหลงป่าบ้างหรือ บุญกุศลเราคงหมดแค่นี้ เอาละตายก็ตาย คิดก็ตายไม่คิดก็ตาย คิดไปให้มากเรื่องทำไม นั่งภาวนาสละตายที่ตรงนี้แหละ”
คิดได้ดังนั้นแล้วท่านจึงภาวนาโดยนึกถึงความตายเป็นอารมณ์จนจิตสงบตั้งมั่น เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งกระโจนมาชนกลดดังโครมครามๆ ถึงสามครั้ง จนกลดแทบจะพัง เมื่อเปิดกลดออกมาก็พบกับเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ ยืนจังก้าจ้องหน้าท่านแบบจะกินเลือดกินเนื้อ
เสือยืนอยู่ห่างไปประมาณ ๓-๔ วา จึงมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนเพราะเป็นคืนเดือนเพ็ญ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต แต่ท่านกลับมีจิตใจห้าวหาญ ไม่เกรงกลัว
“ดีล่ะ ไหนๆ ก็จะถึงที่ตายอยู่แล้ว จะตายทั้งที ร่างกายนี้จะได้ไม่ต้องเน่าเปื่อยผุพังไปเปล่า มีผู้มาเก็บซากศพให้ก็ดีแล้ว เราจะเดินเข้าไปให้เสือกินทั้งบริขารนี่แหละ”
ว่าแล้วท่านก็เดินเข้าไปหาเสือตัวนั้น โดยมิได้สะทกสะท้านต่อความตายใดๆ
“ฮีบมากินมา เฮามาให้กินแล้ว กินให้หมดเด้อ อย่าให้เหลือซาก มันสิเหน่าเหม็นถิ่มซื่อๆ”
(รีบมากินสิ เรามาให้กินแล้ว กินให้หมดนะอย่าให้เหลือซาก มันจะเน่าเหม็นทิ้งเปล่าๆ)
หลวงปู่พูดไปแล้วก็เดินเข้าไปหาเสือไปเรื่อยๆ แต่เจ้าเสือกลับถอยหลังกรูด มันหันหลังให้แล้ววิ่งไปข้างหน้า แล้วหันกลับมาจ้องมองอีก ท่านเดินตามไปจะให้มันกิน เสือวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่านก็เดินตามไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้อยู่จนสว่าง เสือตัวนี้ก็หนีเข้าป่าไป
“เอ้า! สิมาส่งกันกะบ่บอก ถ้าบ่กินกะฟ่าวเข้าดงเข้าป่าไป เดี๋ยวนายพรานสิมาเห็น เขาจะยิงเอา ให้อยู่เป็นสุขๆ เด้อ”
(อ้อ จะมาส่งกันก็ไม่บอก ถ้าไม่กินเราก็รีบหนีเข้าไปเสีย เดี๋ยวนายพรานมาเห็น เขาจะยิงเอา ให้เป็นสุขๆ เถิด)
ปรากฏว่าการที่ท่านเดินตามเสือเพื่อจะให้มันกินอยู่จนสว่าง ทำให้ออกจากป่ามาจนถึงไร่ของชาวบ้าน หลวงปู่จึงบิณฑบาตได้อาหารมาฉัน ไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในป่าแห่งนี้
ภาวนาปฏิบัติธรรมในถ้ำลึกที่ผาเสด็จ
จากนั้นท่านได้ธุดงค์ต่อมาจนถึงดงพระยาเย็น ผาเสด็จ (ภูพระบาท ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี) ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำลึกถึง ๘ วัน ๘ คืน
ก่อนจะเข้าไปนั่งภาวนาในถ้ำนี้ ชาวบ้านที่ทำไร่อยู่ในในถิ่นนั้นได้ห้ามไม่ให้ท่านลงไปนั่งในถ้ำลึก เพราะอากาศในถ้ำนั้นเย็นจัด เขาบอกว่า ๗ วันก่อน มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาพักและได้มรณภาพในถ้ำนั้น เมื่อท่านได้ฟังเขาเล่าดังนั้นแล้วก็ยังยืนยันแก่เขาว่า จะต้องลงภาวนาให้ได้ จึงเตรียมตัวเข้าไปในถ้ำ
เมื่อเข้าไปพักในถ้ำท่านพบว่าอากาศหนาวมาก เย็นจัดดังคำบอกเล่า หลวงปู่ผางนั่งพำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ได้ ๔ วัน ก็เกิดเป็นไข้ ท่านเล่าว่าคงจะเป็นเหมือนดังที่คุณโยมคนนั้นบอกไว้ พยายามนั่งภาวนาไปจนครบ ๗ วัน ไข้ก็ยิ่งจับหนัก พอครบวันที่ ๘ มีอาการอ่อนเพลียมาก แต่ก็ยังคงออกไปเที่ยวบิณฑบาตได้มะละกอสุกมาลูกหนึ่ง นึกอยากจะฉันมะละกอสุกลูกนั้น จึงฉันจนหมด ในใจตอนนั้นท่านว่าจะเป็นตายร้ายดีอะไรก็ตาม ก็ให้แล้วแต่บุญแต่กรรม
หลังจากฉันมะละกอสุกไปแล้วไม่นาน ท่านก็ปวดท้องถ่ายหนัก เมื่อถ่ายแล้วท่านก็รู้สึกว่าอาการไข้ได้หายไป มีเรี่ยวแรงพลกำลังเกิดขึ้น ท่านได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน
จากนั้นมุ่งหน้าเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดเลยไปนั่งภาวนาตามถ้ำภูเขาหลายแห่ง เช่น ถ้ำผาปู่ ภูกระดึง เป็นต้น
สมัยนั้นที่ภูกระดึงผู้คนยังไม่มีมาก ท่านไปพักภาวนาอยู่ระหว่างกึ่งกลางทางขึ้นภูกระดึงในปัจจุบัน
ในสมัยนั้น หมู่บ้านศรีฐานซึ่งเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ปากทางขึ้นภูกระดึง มีชาวบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน การโคจรบิณฑบาตลำบากมาก อากาศหนาวจัด สัตว์ป่าต่างๆ มีมากเยอะแยะเช่น เสือ ช้าง เป็นต้น เมื่อหลวงปู่ลงจากภูกระดึงเพื่อออกไปบิณฑบาตยังบ้านศรีฐาน บางครั้งเคยไปเจอเสือรอยเท้าใหญ่ขนาดคืบกว่า มันนั่งอยู่ระหว่างทางช่องแคบ
ท่านได้พูดกับมันบอกว่า "ขอผ่านทางไปด้วยเถอะพยัคฆะเอ๋ย หลวงพ่อจะไปบิณฑบาตมาฉัน อย่ามานั่งกีดกันหนทางเลย"
ไม่นานเจ้าพยัคฆ์ก็ลุกหนีไป แล้วไม่เคยจะกลับมาให้เห็นอีกเลย
อีกครั้งหนึ่งที่บริเวณนี้แหละ หลวงปู่นั่งภาวนามาหลายวัน รู้สึกว่าอ่อนเพลีย เจ็บปวดตามร่างกายมาก นึกอยากจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ จึงเดินไปตามชายเขา
ท่านบอกว่า เมื่อเดินไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ ท่านไปนั่งพักอยู่ใกล้หนทาง เห็นชาวบ้านเขาเดินทางผ่านมา ก็เลยถามเขาว่า "หมู่บ้านนี้มีคนชื่อเฒ่าเสือไหม ? " ทั้งๆ ที่ท่านไม่รู้จักเฒ่าเสือนั้นเลย
ชาวบ้านก็บอกว่า มี
อันว่าเฒ่าเสือนั้น เป็นนายพรานที่ชำนาญป่าแถบนั้นมาก เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ หลวงปู่จึงบอกชาวบ้านว่า เมื่อกลับเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ช่วยบอกพ่อเฒ่าเสือให้มาหาท่านด้วย ชาวบ้านก็เมื่อกลับถึงหมู่บ้านแล้วก็รีบไปบอกพ่อเสือ
พ่อเสือก็ได้ออกมาพบหลวงปู่ พอมาถึง ท่านก็ถามว่า
“เจ้าชื่อเฒ่าเสือ แม่นบ่” (ใช่ไหม)
เฒ่าเสือตอบว่า แม่น ข่อยนี่หละชื่อเฒ่าเสือ
หลวงปู่จึงบอกเฒ่าเสือว่า
"เอ้อเฒ่าเสือเอย ไปหอบเฟือง (ฟาง) มาให้จักมัดใหญ่ๆ แหน่"
แล้วพ่อเฒ่าเสือก็ไปหาฟางมา โดยเอาผ้าขาวม้ารัดมาถวายหนึ่งมัด
หลังจากที่เฒ่าเสือถวายฟางมัดหนึ่งแก่หลวงปู่แล้ว ท่านก็บอกเฒ่าเสืออีกว่า
"ช่วยหาที่พักให้จักบ่อนแหน่ บ่อนได๋ สิดี"
เฒ่าเสือนั้น แกเป็นนายพรานสันดานดื้อยังมีอยู่ อยากรู้ว่าหลวงพ่อนี้จะดีเด่นแค่ไหน ถ้าไม่แน่ก็จะให้เสือมันจัดการเป็นอาหารในคืนนั้น พ่อเฒ่าเสือก็ยกมัดฟางขึ้นพาดบ่า เดินนำหน้าหลวงพ่อไป เดินทางไปตามซอกเขาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นช่องแคบ กว้างพอกางกลดได้เท่านั้นพ่อเฒ่าก็วางมัดฟางลง
ห่างจากที่นี้ไปประมาณ ๒ เส้น มีแอ่งน้ำเป็นหลุมขนาดพอลงนอนได้ มีน้ำ หลุมนี้เป็นที่สัตว์ป่าทั้งที่ดุร้ายและไม่ดุร้ายลงมากินน้ำเป็นประจำทุกวัน
พ่อเฒ่าปูฟางจัดที่ถวายแล้วก็ลากลับ
หลวงพ่อก็เริ่มกางกลดทันที เพราะพลบค่ำใกล้จะมืดแล้ว พลางก็นึกว่า
“คืนนี้อีกละน้อคงจะพ้ออีหยังจักอย่าง บ่อฮู้ว่าจะแม่นหยังแน่นอน”
ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร มโนภาพมันจึงคิดไปอย่างนั้น เมื่อกางกลดเสร็จท่านก็เข้าไปในกลด นั่งสวดมนต์ไหว้พระภาวนาเข้าสมาธิ จนถึงเวลาทุ่มเศษๆ ก็นึกจะจำวัดพักผ่อนในคืนนี้ เพราะรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยมาก พอเอนกายลงครู่เดียวกำลังจะงีบหลับไป ก็มีเสียงมาเตือนว่า
" ระวังเน้อ ระวังแลงบุ้งกิ้งกือใหญ่ "
ท่านก็ผวาตื่นขึ้นมาทันที นึกอยู่ว่า อะไรน้อ สัตว์ชื่อนี้ ความหวาดเสียวสะดุ้งกลัวขวัญหนีดีฝ่อก็บังเกิดขึ้นตามปกติวิสัยของมนุษย์ทั่วๆ ไป ท่านก็เลยจำวัดไม่ได้
"เอาละจะเป็นอย่างไรคืนนี้กูต้องผจญภัย จะเป็นตายอย่างไรแล้วแต่เทวดาฟ้าดินพระอินทร์ พระพรหม จะกรุณา"
แล้วท่านก็นั่งภาวนาไป ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากฟางที่ปูพื้นบริเวณนอกกลด ดังควั๋กค๊าก เหมือนเสียงตัวปลวกกินฟาง
ท่านก็เลยหยุดภาวนา แล้วใช้มือลูบจับผ้ามุ้งกลดรอบๆ ตัว
ก็เลยไปเจอแมลงบุ้งกิ้งกือใหญ่มหึมา ม้วนวงรอบมุ้งกลด ค่อยๆ ขยับเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนจะรวบรัดตัวท่าน หลวงปึ่งตกลงตัดสินใจเปิดมุ้งดู ก็เห็นตัวงูใหญ่ลวดลายสีสันเหมือนงูทำทาน ขณะนั้นไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ข้างไหนเป็นหัวข้างไหนเป็นหาง เมื่อเห็นดังนั้น ทีแรกท่านนึกว่าจะเปิดมุ้งกระโดดข้ามมันวิ่งหนีไป แต่กลับได้สติคืนมาและนึกถึงคำสั่งสอน ของครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งว่า
“ถ้ากลัวผีให้เข้าไปอยู่ที่ป่าช้า ถ้ากลัวช้าง เสือ งู สัตว์ดุร้าย ให้เข้าไปอยู่ใกล้สัตว์เหล่านั้น”
พอคิดได้แล้วก็ตกลงใจ นั่งสวดมนต์ภาวนาทำจิตใจให้เป็นสมาธิตั้งมั่น...
จนกระทั่งไก่ป่าเริ่มขัน เสียงชะนีกู่ร้องก้องไพร วันใหม่ก็มาถึง แสงสว่างเจิดจ้า
หลวงปู่ตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมีอะไร จิตใจก็สบาย จนได้อรุณ ก็ออกบิณฑบาตได้ภัตตาหารพอควรแล้ว ก็กลับคืนที่พัก
วันนั้นพ่อเฒ่าเสือพร้อมด้วยลูกหลานชาวบ้าน ก็นำอาหารออกไปถวาย
พอได้โอกาสจึงถามขึ้นว่า
“เป็นจั่งได๋หลวงพ่อ คืนนี้ มีหยังมารบกวนบ่”
หลวงพ่อจึงตอบว่า
“บ่มีหยังนา นอกจากสัตว์ต่างๆ พากันลงมากินน้ำเท่านั้น”
พ่อเฒ่าเสือก็เกิดอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะสถานที่นั้นมีอาถรรพณ์มาก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลวงพ่อพักอยู่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ท่านพักอยู่ที่นั่นพอสมควรแล้วก็ออกธุดงค์ต่อไปอีก
จนพบท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ณ เสนาสนะป่าบ้านผือ ในที่สุด (น่าจะเป็นช่วงก่อนเข้าพรรษาปีพ.ศ. ๒๔๘๙)
พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้พบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ