ประวัติท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง...

ประวัติหลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ

พระครูพิพิธธรรมาธร(หวั่น กุสลจิตฺโต) โสภณ บุญสุข วัดคลองคูณ ตำบล คลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน จังหวัด พิจิตร...

ประวัติหลวงปู่ฮก

หลวงปู่ฮก รติน۪ธโร พระผู้เคร่งครัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่โทน กน۪ตสีโล

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร

หลวงพ่อฟู อติภทฺโท เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง”

ประวัติหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่

"พระครูสุภัททาจารคุณ" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร" ด้วยเป็นนามที่คุ้นเคยต่อการเรียกขานของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์

19/10/58

ประวัติหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ



พระมหาเถราจารย์ในยุคอดีตผู้ทรงสมาธิภาวนาฌาน ผู้มีวิทยาคมเข้มขลัง หนึ่งในพระเกจิคณาจารย์ผู้สร้างตำนานทหารผีที่โด่งดังตราบจนปัจจุบัน (จาด จง คง อี๋)

‪#‎อ่านแล้วอย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านต่อ‬

พระครูวรเวทมุนี ปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ๆ ว่า "หลวงพ่ออี๋" เพราะท่านชื่อ อี๋ มาแต่แรก ท่านเป็นบุตรชาย นายขำ นางเอียง ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 ตรง กับวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำเดือน 11 ปีฉลู ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

เมื่ออายุ 25 ปีได้อุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก ซึ่งบัดนี้ได้ยุบรวมเข้าเป็น วัดอ่างศิลาวัดเดียว โดยมีพระอาจารย์จั่น จนฺทโส เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยมีพระอาจารย์ทิม เป็นกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์แดงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ได้ตั้งฉายาว่า "พุทธสโร" และในช่วงโอกาสนั่นเอง หลวงพ่ออี๋ก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย คลองด่าน และยังกล่าวกันอีกว่า หลวงพ่อแดงและหลวงพ่อเหมือนก็เป็นพระอาจารย์ท่านด้วยเช่นกัน

วัดสัตหีบ (วัดหลวงพ่ออี๋) เป็นวัดที่หลวงพ่ออี๋ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2442 และท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก หลวงพ่ออี๋มีความชำนาญในด้านสมถะวิปัสสนาธุระมากคือ คล่องแคล่วในการเข้าใน ออกนอก และในการพักจิตอยู่เป็นกสิณ และในธรรมารมณ์ตามปรารถนา จะเรียกว่า มีวสีภาพก็ควร เพราะเมื่อท่านปรารถนาจะสำรวมจิตแล้ว ไม่มีอะไรมาขัดขวางทางเดินภายในของท่านได้ เป็นการเข้าออกได้เรียบร้อยตามประสงค์

เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติแล้วท่านจะเหนือว่าพระเถระอื่น ๆ มากทีเดียวเพราะท่านสามารถยกจิตให้พ้นจากเวทนาได้เสมอ ดังจะเห็นได้จากเวทนาที่เกิดขึ้นจากความหนาว ร้อน หิว กระหาย ปวด บวม ระบม เป็นต้น ท่านไม่เคยปริปากบ่นในเรื่องทุกขเวทนาดังกล่าวให้ผู้อื่นได้ยินเลย แม้การเจ็บป่วยเจ็บป่วยของท่าน คงอยู่ในอาการสงบเป็นปรกติจนหมดอายุขัย

"หลวงพ่ออี๋" ได้สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มาก รวมทั้งปลัดขิกที่มีชื่อมาก (พอๆ กับหลวงพ่อเหลือ แปดริ้ว) ทั้งตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญ พระปิดตา "พระสาม" และ "พระสี่" (พรหมสี่หน้า) กล่าวกันว่าในระยะ พ.ศ. 2483-86 นั้น หลวงพ่ออี๋ก็มีของดีเกรียงไกรออกสู่สงครามอินโดจีนไปก็มาก ชื่อเสียงของท่านดังขนานไปกับหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกทีเดียว พระเครื่องรางของขลังของหลวงพ่ออี๋มีสร้างออกมามากแบบเอาใน พ.ศ. 2484 และตาม พ.ศ. นี้เอง "พระสาม" และ "พระสี่" หรือ พระพรหมสี่หน้า ก็ได้กำเนิดตามออกมาด้วย พระทั้ง 2 พิมพ์เป็นพระเนื้อเมฆพัด องค์หนึ่งทำเป็นพระ 3 หน้าพระทับนั่งบนฐานบัวกลีบ (3 หน้า 3 องค์) ส่วนพระสี่หรือพรหมสี่หน้าก็ทำเป็นพระประทับนั่งบนฐานเขียงเหมือนกันทั้ง 4 หน้า (4 หน้า 4 องค์) ด้านพุทธคุณมีทั้งแคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี


พระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นท่านได้สร้างโรงเรียนประชาบาล 1 หลัง ชื่อว่า "โรงเรียนบ้านสัตหีบ" ที่ย้ายมาตั้งที่ถนนบ้านนา ชาวบ้านเรียนว่า "โรงเรียนบ้านนา" ส่วนอาคารเรียนเดิมชื่อ "ศาลาธรรมประสพ" ปัจจุบัน คือ "ห้องสมุดของวัดสัตหีบ"

ท่านหลวงพ่ออี๋เริ่มอาพาธในอวสานแห่งชีวิตครั้งนี้ ด้วยโรคฝีที่คอ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2489 แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรักษานัก ท่านเคยปรารภว่ามันจะมาเอาชีวิตท่าน คงใช้แต่ยาของท่านเองบ้าง ปิดบ้าง พอกบ้าง ใช้น้ำมนต์บ้าง เรื่อยมาและไม่หยุดการรับนิมนต์ในที่ใด ๆ ทั้งสิ้น โรคฝีได้กำเริบขึ้นเป็นลำดับมา จนเข้าพรรษาแล้ว พิษของฝีจึงแสดงอาการให้ต้องพักทำวัตรสวดมนต์

กำลังของท่านเริ่มลดลง หัวฝีเล็ก ๆ ใต้คางด้านขวาก็เริ่มบวมมากขึ้น มีผู้ห่วงใยแนะนำท่านให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเสีย ท่านก็บอกว่า

"ช่างมันเถอะ เป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มันมาตามทวงหนี้แล้ว"

เพราะท่านเคยบอกคนใกล้ชิดว่าชาติก่อนเคยไปยิงกวางตัวหนึ่งที่หนองไก่เตี้ย ถูกที่ซอกคอตาย กรรมนั้น จึงตามมาให้ผลแล้ว ท่านก็คิดว่าเป็นกรรมเก่า อยากจะชำระหนี้ให้เสร็จเสียที จึงไม่ได้สนใจรักษาทางแพทย์ปัจจุบัน แม้โรงพยาบาลก็ไม่ได้พูดถึง จนถึงเวลาที่ฝีสุกแก่จัด และโตขึ้นมาก จึงทวีความรุนแรงมากยิ่ง ทำให้กำลังร่วงโรยประกอบกับเข้าสู่วัยชราภาพมาก

แล้วพอถึงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2489 ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ เวลา 20.35 น. หลวงพ่ออี๋ท่านก็บอกให้พระที่นั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ ช่วยประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง แล้วสั่งไม่ให้ทุกคนแตะต้องตัวท่าน เสร็จแล้วท่านก็นั่งสมาธิตัวตรง เริ่มเข้าสมาธิ

ชั่วครู่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง ทำให้ทุกคนตกใจกันสุดขีดคือ ไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ซึ่งตั้งพิงฝาผนังภายในกุฏิและตั้งอย่างนั้นมานานแล้ว ก็ล้มโครมลงมาฟาดกับพื้น และกระจกแผ่นหนึ่งที่ติดกับบานประตูตู้ ห่างจากไม้กระดานหลายเมตร ก็กระเด็นหลุดออกมาแตกกระจายทั่วพื้น

ทั้งพระและลูกศิษย์วัดที่คอยนั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ตกใจมาก พอหายตกใจได้สติก็หันมาดูหลวงพ่ออี๋ ซึ่งตรงกับเวลา 21.05 น. ท่านก็นั่งสงบปราศจากลมหายใจเข้าออกเสียแล้ว ข่าวการการมรณภาพก็กระจายไปทั่วกิ่งอำเภอสัตหีบอย่างรวดเร็ว

สิริรวมอายุของท่านได้ 82 ปี ชีวิตหรือวิญญาณของหลวงพ่ออี๋ แม้จะจากไปจนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.2558) นับได้ 69ปี แล้วแต่ก็เหมือนว่าชีวิตของท่านยังดำรงอยู่ ทั้งคุณค่าของงานทางฝ่ายสงฆ์และ ฝ่ายสังคมโลกที่หลวงพ่ออี๋ได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่เริ่มบวชจนถึงมรณภาพ บารมีของท่านยังปรากฏอยู่ในวัดสัตหีบ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ประวัติหลวงปู่ฮกจากหนังสือพระเกจิ ฉบับปี 2554


หลวงปู่ฮก รติน۪ธโร พระผู้เคร่งครัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในวัย 85ปี(ในปี2554) ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่โทน กน۪ตสีโล พระเกจิแห่งวัดเขาน้อยคีรีวัน หลวงปู่ฮกเคยจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่โทนตั้งแต่เริ่มสร้างสำนักสงฆ์เขาน้อยคีรีวัน จำพรรษาด้วยกันบนเขาในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีกุฏิมีแต่แคร่ไม้ที่ชาวบ้านสร้างไว้ และผ่าใบพลาสติกกางกันแดดกันฝนเท่านั้น สมัยก่อนน้ำไฟยังไม่มีในเวลากลางคืนต้องอาศัยแสงสว่างจากเทียน หลวงปู่ฮกท่านได้เล่าให้ฟังว่าบนเขานั้นมีงูจงอางสองตัว ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงปู่โทนอย่างมาก เนื่องจากหลวงปู่โทนท่านเคยมานั่งปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานด้วยกันบนเขา แต่งูจงอางก็ไม่ได้เข้าใกล้หลวงปู่ฮก ถึงแม้ท่านจะนั้งวิปัสสนากรรมฐานห่างกับหลวงปู่โทนไม่ใกลนัก


หลวงปู่ฮกท่านเป็นพระสมถะรักสันโดษมักแสวงหาที่สงบเพื่อนั่งวิปัสนากรรมฐาน ป่าช้าก็เป็นสถานที่สงบอีกแห่งหนึ่งที่หลวงปู่ฮกชอบไปนั่งปฏิบัติธรรม ท่านมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่ยึดติดกับสิ่งไดๆ เมื่อออกบิณฑบาตรมีผู้บริจาคปัจจัยให้กับท่านท่านจะนำปัจจัยไปซื้ออาหารมาเลี้ยงสุนัข และแมวจนหมด นับว่าหลวงปู่ฮกท่านเป็นพระที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตามีบารมีธรรมสูงส่ง ท่านเป็นผู้ที่มีความชำนาญทางด้านวิปัสนากรรมฐานมีพลังจิตสูง ท่านเคยธุดงค์ไปในป่าลึกข้ามไปถึงฝั่งประเทศพม่า ประเทศมาเลเซีย พบเจอกับสัตว์ดุร้ายมากมายหลายชนิดแต่ไม่มีสัตว์ตัวไหนทำร้ายท่านได้เลย แม้แต่ยุงที่ว่าดุร้ายกว่าเสือยังไม่สามารถทำอะไรหลวงปู่ฮกได้เลยถ้าหลวงปู่ฮกนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเมื่อไดท่านจะนั่งนิ่งสงบเพื่อสยบความเคลื่อนไหวจนดวงจิตนิ่งลึกถึงแก่นขุมพลังแห่งธรรมจนเป่งเป็นแสงแห่งธรรมกระจ่างไปตามเรือนร่างของท่านเมื่อสัตว์ร้ายเห็นพลังแสงธรรมเป่งประกายด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย และภูติผีปีศาจทั้งหลายก็มิกล้ามากล้ำกลายทำร้ายหลวงปู่ฮกเลย มีแต่จะขอเขามาพึ่งบุญบารมีของท่านเท่านั้น ในชีวิตของท่านตั้งแต่บวชมาท่านไม่เคยกลางมุ้งหรือกางกลตจำวัดเลย แม้กระทั้งในระหว่างออกเดินธุดงค์วัตรไปสถานที่ต่างๆ หรือจำพรรษาอยู่ในวัดก็ตามขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์เรืองสุข ( วัดมาบลำบิด ) ปัจจุบันนี้เวลาท่านจำวัดท่านจะจำวัดในโบสถ์ ท่านเป็นพระที่มีฌาณบารมีแก่กล้าอย่างแท้จริง
ในโอกาสที่พระครูวิสุทธิพรมจรรย์ ( พระอาจารย์ณรงค์ ) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์เรืองสุข ( วัดมาบลำบิด ) มีความประสงค์จะหาทุนทรัพย์เพื่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทนหลังอโบสถหลังเดิม ที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมไปมากเนื้องจากโครงเหล็กเดิมของโบสถไม่มีความแข็งแรง เวลาพระสงค์ร่วมกันทำสังฆกรรมก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย บางทีมีช่อระกาที่สร้างขึ้นจากวัสดุปูนปั้นยังตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลย ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์ณรงค์ ท่านจึงได้ขออนุญาติหลวงปู่ฮกจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นเพื่อหาทุนทรัพย์มาสร้างอุโบสถหลังใหม่ หลวงปู่ฮกจึงเมตตา และขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วย ทางวัดจึงได้จัดสร้างเหรียญรุ่นแรกหลวงปู่ฮกขึ้นในลักษณะพิมพ์เสมา เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทราได้มีส่วนร่วมกันทำบุญสร้างอุโบสถหลังใหม่ในโอกาสนี้ล

ขอบคุณที่มา: ( ข้อมูลนี้คุณเทพอนุชาได้คัดลอกจากหนังสือพระเกจิ ฉบับปี 2554 )

16/10/58

ประวัติ หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่ จ.ระยอง



"พระครูสุภัททาจารคุณ" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร" ด้วยเป็นนามที่คุ้นเคยต่อการเรียกขานของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ รวมทั้งผู้ใกล้ชิดที่เลื่อมใสศรัทธาต่อท่าน 

หลวงพ่อสิน เป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัด มีจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านและสาธุชนโดยทั่วไป 

ชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองระยองถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

หลวงพ่อสิน เป็นพระเกจิชื่อดังแห่งภาคตะวันออก เป็นศิษย์สืบสายธรรมของหลวงปู่เพ่ง สาสโน อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ และหลวงพ่อรัตน์ วัดหนองกระบอก 

ปัจจุบัน หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร สิริอายุ 82 ปี พรรษา 59 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สิน สุขมาก เกิดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2471 ปีมะโรง ณ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเซี้ย และนางจัน สุขมาก ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา 

ชีวิตในวัยเด็ก เป็นคนที่เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน นิสัยชอบเข้าวัดฟังธรรม ผิดกับเด็กอื่นวัยเดียวกัน ที่วันๆ เอาแต่วิ่งเล่นสนุกสนาน 

กระทั่งอายุย่าง 20 ปี ได้เข้าเกณฑ์ทหารเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนปลดประจำการ

ครั้นเมื่ออายุ 24 ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2494 เวลา 15.30 น. ณ อุโบสถวัดละหารไร่ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยมีพระครู วิจิตรธรรมานุวัต (หลวงพ่อรัตน์) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเพ่ง สาสโน เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระครูเกลี้ยง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดมหานิกาย ได้รับฉายา ภัททาจาโร

วัดละหารใหญ่ มีพื้นที่ตั้งวัดอยู่ใกล้กับวัดละหารไร่ ดังนั้นจึงมีโอกาสได้ไปกราบนมัสการและรับใช้หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เจ้าตำรับพระขุนแผนพรายกุมาร อยู่เสมอในสมัยที่หลวงปู่ทิมยังมีชีวิตอยู่ พร้อมทั้งได้ร่ำเรียนวิทยาคมไปด้วย

อีกทั้งท่านยังได้ร่ำเรียนวิทยาคมโดยตรงจากหลวงปู่เพ่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่และหลวงพ่อรัตน์ วัดหนองกระบอก ผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก เจ้าตำรับแพะเมตตาอันลือลั่นแห่งเมืองระยอง 

หลวงพ่อสิน เป็นพระที่ใฝ่รู้ศึกษาค้นคว้าทางพระเวทวิทยาคมด้านต่างๆ ท่านได้ศึกษาอยู่กับหลวงปู่เพ่ง ศึกษาวิทยาคมพื้นฐาน ศึกษาวิชาสร้างแพะมหาเสน่ห์และโชคลาภ และศึกษาวิชาสร้างหนุมาน, ขุนแผน, ชูชก ฯลฯ

ในครั้งนี้ท่านได้พบกับสหธรรมิกคนสำคัญท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง ในฐานะเป็นศิษย์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เหมือนกัน

หลวงพ่อสิน ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปี พ.ศ.2542 และต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสุภัททาจารคุณ



หลวงพ่อสิน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ยึดติดใน ลาภยศสรรเสริญใดๆ ท่านมักจะพร่ำสอนญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้เสมอๆ ว่า 

"คน เราจะมีความสุขสงบในสังคมได้ ต้องถือศีล 5 เพราะทำให้สังคมสงบสุข ปิดกั้นภัยเวรต่างๆ ได้ แต่ที่พวกเรารู้สึกว่าทำได้ยากหรือขัดกับชีวิตประจำวัน เป็นเพราะตาใจของเรามันบอกแสงหรือเจ้ากรรมนายเวรมาบังจิตบังใจเรา"

การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อชาญ ไม่ได้จัดสร้างบ่อยนัก นานครั้งในวาระพิเศษ จึงจะมีการจัดสร้างสักครั้งหนึ่ง ท่านจะเน้นคำสอนให้ลูกศิษย์นำไปปฏิบัติมากกว่า แต่จะอนุญาตให้ศิษย์ใกล้ชิดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีจำนวนไม่มากนัก แต่ปรากฏว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

เช่น เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก หนุมานเนื้อโลหะ รุ่นแรก พิมพ์นั่งยองแบบหลวงปู่ทิม พระขุนแผนรุ่นแรก ปี"49 พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก และอื่นๆ เป็นต้น 

หลวงพ่อสิน เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระแท้ ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของหลวงพ่อสินโด่งดังมานาน เป็นที่กล่าวขานในหมู่ศิษย์ชาวระยอง และภาคตะวันออกเป็นยิ่งนัก ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ และจริยาวัตรของหลวงพ่อ ทำให้ท่านได้รับกิจนิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลในพื้นที่ภาคตะวันออกและ พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลสำคัญทั่วประเทศ

สำหรับวิทยาคมของท่านที่มีประสบการณ์โดดเด่นที่สุด ได้แก่ วิชาสร้างหนุมานทหารเอกของพระราม วิชาแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตามหานิยม เป็นต้น

หลวงพ่อสิน ปรารภว่า "วัตถุมงคลจะมีความเข้มขลังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล ใครที่เชื่อหรือศรัทธาในวัตถุมงคลก็จะบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตน

15/10/58

ประวัติหลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ




 พระครูพิพิธธรรมาธร(หวั่น กุสลจิตฺโต) โสภณ บุญสุข วัดคลองคูณ ตำบล คลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน จังหวัด พิจิตร

      หลวงพ่อหวั่น เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีกาลพรรษาสูงรูปหนึ่ง ท่านสร้างวัตถุมงคลออกมาในแบบเนื้อผงผสมมวลสารมากกว่า เนื้อโลหะโดยเฉพาะพระนางพญาผงใบลานนั้นเด่นในทางเมตตามหานิยมเยี่ยมมากทีเดียว ส่วนตะกรุดสาลิกาคู่เยี่ยมในทางมหานิยม ผู้คนชาวบ้านเขาโจษขานกันมานานแล้วว่า หลวงพ่อหวั่นนั้นท่านเป็นพระที่เมตตาสูง ท่านปล่อยวางจากลาภสักการะ อดิเรกลาภต่างๆหลวงพ่อหวั่น ท่านไม่ได้ยินดีปัจจัยไทยทานต่างๆท่านวางไว้เหมือนไม่สนใจใยดี นอกจากเป็นพระเถระที่ยึดสันโดษเป็นที่ตั้งแล้วในเรื่องกฤดาอภินิหารต่างๆ ชาวบ้านเล่าว่าท่านนั้นเก่งมากทั้งในด้านเมตตาคงกระพันชาตรี โดยเฉพาะวัยรุ่นในย่านตะพานหินที่หัวนิยมชื่นชอบหนักในทางต่อสู้ตีรันฟันแทงแล้วจะต้องพกตะกรุดโทน หลวงพ่อหวั่น ติดตัวเพื่อช่วยใน ยามคับขัน


อัตตะประวัติ


      พระครูพิพิธธรรมาทร มีนามเดิมว่า หวั่น นามสกุล แพนนท์ เกิดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๑ คํ่าเดือน ๙ ปีกุน ที่บ้านคลองคูณ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน เมืองพิจิตร โยมบิดามีนามว่า นายหมึก เป็นหมอกลางบ้านหรือแพทย์แผนโบราณ โยมมารดาชื่อ นางขอด แพนนท์มีพี่น้องรวมทั้งหมด ๑๑ คน ผู้ชาย ๕ คนผู้หญิง ๖ คน ส่วนหลวงพ่อหวั่น ท่านเป็นลูกคนที่ ๔ ของครอบครัว


อุปสมบท


      เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ ๒๑ พ่อแม่จึงจัดการนำไปฝากเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนท่องคำขานนาคแล้ววันมงคลแห่งชีวิตก็มาถึงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๙ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๘ คํ่า เดือน ๖ ปีวอก ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในพัทธสีมาของวัดคลองคูณ โดยมี พระครูพิเศษ ธรรมรัตน์ วัดหาดแตงโม อำเภอ ตะพานหิน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกานนท์ วัดไผ่หลวง เป็นพระกรรมวาจาจารย์และ พระธรรมธร สง่า วัดไซลงโขน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับนามฉายาว่า “กุสลจิตโต” เมื่อบวชในพระศาสนาแล้วท่านตั้งใจแน่วแน่ในการสวดร้องท่องบ่นเจ็ดตำนานสิบสองตำนาน จนญาติโยมต่างร่วมอนุโมทนาบุญกับท่าน และญาติโยมชาวบ้านคลองคูณ ต้องการให้ท่านครองผ้ากาสาวพัตรอันเป็นหลักชัยในทางพระพุทธศาสนาไปนานๆประกอบกับท่านนั้นเป็นลูกหลานชาวบ้านนี้ ซึ่งก็ไม่ทำให้ญาติโยมผิดหวังเนื่องจากหลวงพ่อหวั่นแม้จะเป็นสัทธิวิหาริกคือหมายความว่า หลวงพ่อหวั่น ท่านเป็นผู้ก้าวเข้ามาใหม่ในอารามแห่งนี้ก็จริงอยู่แต่ท่านเป็นพระหนุ่มผู้ เคร่งครัด ในพระธรรมวินัยเป็นยิ่งนัก เร่งเรียนทำวัตรสวดมนต์และศึกษาข้อวัตรปฏิบัติทาง พระศาสนาอันเป็นคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ละความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้จนญาติโยมศรัทธาทั้งหมู่บ้านเมื่อบวชได้ ๓ พรรษาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลพระบวชใหม่ภายในวัดหรือเรียกว่า แต่งตั้งเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสนั้นเอง


สายอาคม

      หลวงพ่อหวั่น ท่านนับได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของคนในอำเภอ ตะพานหินและถิ่นย่านใกล้เคียงในภาคเหนือตอนล่าง นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังมากๆในเรื่องตะกรุดสาลิกา และตะกรุดมหาอุด ท่านได้เมตตาบอกกับผู้เสนอบทความว่า ท่านทำตะกรุดตั้งแต่พรรษายังไม่มากนักคือท่านได้ตำรามาจากของเก่าแก่ในวัดซึ่งเป็น ยันต์ที่หลวงปู่จันทร์ท่านได้เขียนเอาไว้และบอกสรรพคุณของตะกรุดแต่ละชนิดประกอบกับหลวงพ่อหวั่นท่านพอเข้าใจภาษาขอมได้อยู่ในระดับหนึ่ง จึงไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรบท่านที่จะเขียนยันต์ลงในตะกรุด เมื่อลงตะกรุดแรกๆก็แจกให้กับญาติพี่น้องกันก่อนเพราะถือว่าในขณะนั้นท่านเป็นพระที่บวชใหม่ เมื่อญาติพี่น้องเอาไปใช้เกิดอภินิหารต่างๆในด้านเมตตาโชคลาภตลอดจนคงกระพันชาตรีตะกรุดพระหวั่นในยามนั้นจึงขยายวงกว้างแห่งความศรัทธาสู่ญาติโยมไปทั่ว ทำให้สมภารหนุ่มในขณะนั้นต้องสงเคราะห์ญาติโยมที่มาขอตะกรุดท่านตลอด ครูบาอาจารย์ในสายอาคมของท่านที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้ บิดาของหลวงพ่อหวั่น เป็นนักเล่นอาคม นับได้ว่าเป็นผู้ขมังเวทย์อีกคนหนึ่งในย่านคลองคูณ เพราะหมอหมึก โยมบิดาของท่านเป็นหมอแผนโบราณที่ชอบและฝักใฝ่ในเรื่องคาถาอาคมจนถือกันว่าขึ้นชั้นระดับแถวหน้าของชาวบ้านย่านคลองคูณเพราะเมื่อ ๕-๖๐ปี ก่อนยังถือว่าบ้านคลองคูณ อยู่ในถิ่นกันดารที่การเดินทางยังยากเข็ญอยู่นอกจากเกวียนหรือม้าแล้วก็ทางเรือเท่านั้นที่สะดวก ใครถูกผีเข้าเจ้าสิงก็ต้องวิ่งโร่ไปที่บ้านหมอหมึกและส่วนมากจะหายเสียด้วยจึงทำให้ชื่อเสียงลือกระฉ่อนออกไปในรัศมีกว้างในละแวกนั้น และย่านใกล้เคียงจึงมอบความไว้วางใจให้หมอหมึกเป็นผู้รักษาจะกินนํ้าหมาก ราดนํ้ามนต์ก็ไม่ขัดข้องเพราะ หมอหมึกถือว่าช่วยสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกหายทุกข์คลายโศกกันคนแล้วคนเล่า หรือเจ็บไข้ได้ทุกข์ทางร่างกายและจิตใจก็วิ่งหาหมอหมึกให้ช่วยเจียดยา บรรเทาทุกข์เวทนา ด้วยที่หลวงพ่อหวั่นพบเห็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของหมอหมึก ผู้เป็นโยมพ่อหรือสมัยนี้เขาจะเรียกเสียโก้หรูว่าแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่เด็กๆจึงทำให้จิตใจ ของหลวงพ่อหวั่น มีแต่ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ผู้เกิดมาร่วมโลกเสมอด้วยญาติกันทุกคน นอกจากหมอหมึกบิดาของท่านแล้ว หลวงพ่อหวั่นได้เรียนวิชาจากตำราของหลวงพ่อโพธิ์ วัดคลองหมาเน่า ซึ่งหลวงพ่อโพธิ์ท่านเป็นพระมอญที่ไปจากจังหวัดปทุมธานี มีความเชี่ยวชาญในการลงตะกรุดคงกระพัน ไปอยู่ที่วัดคลองหมาเน่า จนกระทั่ง มรณะภาพ ลงญาติพี่น้องของท่านที่อยู่ในจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางไปรับศพท่านกลับมาประกอบพิธีทางพระศาสนาและ ปลงศพที่บ้านเกิดหลังที่ทางคณะกรรมการวัดคลองหมาเน่าตลอดจนผู้ศรัทธาได้ประกอบพิธีทางศาสนาได้ระยะหนึ่ง เล่ากันว่าหลวงพ่อโพธิ์ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เข้มขลังวิชาเป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมใน ละแวกนั้น นอกจากหลวงพ่อโพธิ์วัดคลองหมาเน่าแล้ว หลวงพ่อหวั่น ท่านได้ไปเรียนคาถาด้านเมตตามหานิยมกับท่านพระอาจารย์รอด ที่สำคัญและไม่กล่าวถึงไม่ได้คือหลวงพ่อจันทร์ วัดคลองคูณพระเกจิอาจารย์นามอุโฆษในอดีต หลวงพ่อหวั่นได้เรียนรู้วิชาอาคมของหลวงพ่อจันทร์ท่านได้วิธีการลงอักขระยันต์ต่างๆ ในตะกรุดตลอดจนขั้นตอนการปลุกเสกและการนั่งสมาธิ เพื่อให้วัตถุมงคลที่ได้ปลุกเสกไปเกิดมีฤทธิ์อำนาจทางพุทธคุณในด้านต่างๆ เมื่อได้ศึกษามาก็ได้ฝึกปรือจนแน่ใจว่าใช้ได้ในเรื่องพุทธคุณไม่ขาดไม่เกินความสามารถที่หลวงพ่อหวั่นท่านได้เรียนมาก็มอบให้ญาติโยมซึ่งเดินทางมาจากที่ต่างๆทั้งใกล้และไกลเมื่อมีประสบการณ์ต่างบอกกล่าวเล่าต่อๆ กันไปกระทั่งท่านนั่งต้อนรับญาติที่ต่างดั้นด้นมาหาท่าน แม้ในขณะนั้นบางคนต้องเดินเท้ามานานนับชั่วโมงโดยมิย่อท้อ เดินทางมาเพื่อให้พบกับพระอาจารย์หนุ่มท่านนี้ให้จงได้ และหลวงพ่อหวั่น ท่านเป็นผู้มีเมตตาสูงใครไปใครมาขอเมตตาอะไรจากท่านก็ล้วนแต่สำเร็จจากปากสู่หูที่บอกเล่ากล่าวต่อกันไป ชื่อเสียงของท่านหอมกระจายไปในทุกสารทิศเหมือนกลิ่นดอกแก้วที่หอมรวยรินไปกับสายลมในยามรุ่งอรุณ เกียรติคุณความดีของท่านนั้นหาได้ผิดแผกไปจากความหอมแห่งบุปผาชาติในยามรุ่งสางไม่ ปัจจุบันแม้สังขารจะล่วงเลยเข้าร่วมศตวรรษแล้วก็ตาม แต่หากมีพิธีพุทธาภิเษก ในเขตจังหวัดพิจิตรตลอดจนย่านใกล้เคียงในละแวกนี้ จะต้องมีนามของท่านพระครูพิพิธธรรมาทรร่วมในพิธีฯ อยู่ด้วยเสมอทุกครั้งไป ในฉบับนี้ขอนำบทกลอนสอนลูกสอนหลานให้กตัญํูรู้บุญคุณพ่อแม่ เข้าใจว่าเป็นการเทศน์ของพระเถระรูปหนึ่งรูปใดเป็นผู้รจนาขึ้นมาซึ่งผู้เขียนได้มาในตู้โดยสาร ชั้น บ.น.ท.ของการรถไฟฯเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเป็นคติเตือนใจลูกๆให้มีความรักเคารพพ่อแม่คำเล็กคำน้อยอย่าได้ทำให้ท่านน้อยเนื้อตํ่าใจในวัยชรา ซึ่งในโลกปัจจุบันเท่าที่พบเห็นค่อนข้างน้อยมากที่ เทิดทูนพ่อแม่ที่แก่เฒ่าดังจะเห็นจากสื่อสารมวลชนทุกๆวันของรายการสกุ๊ปชีวิตที่มีอยู่เป็นประจำ กลอนบทนี้ชื่อว่ากลอน พ่อแก่ แม่เฒ่า เขาเขียนเอาไว้ดังนี้


      " พ่อแก่ แม่ก็เฒ่า จำจากเจ้าอยู่ไม่นาน จะพบจะพ้องพานเพียงเสี้ยววานของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ชํ้าใจ คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย ร้องให้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกๆยาม ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้ วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง "
      

การสร้างวัตถุมงคล




      พ.ศ.๒๕๔๖ ในปีนี้หลวงพ่อหวั่นได้รับการเลื่อนสมณะศักดิ์ขึ้นเป็นพระครูชั้นเอกเมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ และได้ฉลองพัดยศในวนที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ คณะศิษย์หลวงพ่อหวั่น ได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมารุ่นหนึ่งเป็นเนื้อผงใบลานเผาหรือคัมภีร์วรรณะของพระจะออกสีดำเป็นพระเครื่องพิมพ์สมเด็จด้านหลังรูปเหมือนครึ่งองค์ที่แกะจมลึกลงไปในเนื้อมียันต์ขอมด้านบน ล่างจะเขียนว่า พระครูพิพิธธรรมาทร นอกจากพระสมเด็จแล้ว ยังมีพระพิมพ์นางพญาเนื้อผงใบลานเช่นกัน ด้านหน้าจะเป็นรูปพระนางพญาพิมพ์เข่าตรง ส่วนด้านหลังตรงกลางจะเป็นยันต์ขอมว่า อิ สวาสุ จารึกหนังสือไทยไว้ว่า พระครูพิพิธธรรมาทร วัดคลองคูณ และพระชัยวัฒน์เนื้อผงใบลานซึ่งเมื่อแรกเห็น คิดว่าเป็นพระกริ่งแต่เมื่อได้ถามท่านหลวงพ่อหวั่นบอกว่าเป็นพระชัยเนื้อผงส่วนด้านหลังยันต์และหนังสือเหมือนกับพระนางพญา พระปิดตามหาลาภคือยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นปิดพระพักตร์เนื้อผงใบลาน ด้านหลังบทความแบบเดียวกันกับ พระนางพญา
      เหรียญรุ่นแรกที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ทุกคนรอคอยรูปเหมือนแทนกายท่านทางวัดได้สร้างเหรียญขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อ แจกในวาระที่หลวงพ่อหวั่นรับเลื่อนสมณะศักดิ์ขึ้นเป็นพระครูชั้นเอกลักษณะเหรียญเป็นแบบแฉกคล้ายจักรหรือแบบพัดยศของพระครู อันเป็นเครื่องประกอบสมณะศักดิ์ชั้นพระครูฯนั้นเองด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อ หวั่นครึ่งองค์จารึกนามสมณะศักดิ์ว่า พระครูพิพิธธรรมาทร รุ่นหนึ่ง สำหรับเหรียญรุ่นนี้มีเนื้ออัลปาก้าเพียงเนื้อเดียวสร้างจำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ ด้านหลังเหรียญตรงกลางเป็นยันต์กระบองไขว้ว่า “นะโมพุทธายะ”คือยันต์พระเจ้า ๕พระองค์ซึ่งเป็นบทสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วในอดีตตลอด จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศาสดาของพวกเราในปัจจุบันและพระศรีอริยะเมตไตยหรือพวกเรานิยมเรียกว่า พระศรีอารย์ นั่นเองซึ่งจะมาตรัสรู้ต่อจากพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพุทธศาสนาเจริญถึง ๕,๐๐๐ปี แยกออก ระลึกถึงหรือน้อมสรรเสริญเป็นบทพุทธคุณ ดังนี้ คือ นะคือ พระกุกกุสันโธ โม คือพระโกนาคมน์ พุทคือ พระกัสสะปะพุทธ และธา หมายถึงพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระสมณะโคดม พระพุทธเจ้าของพุทธศาสนาใน
      ปัจจุบัน ส่วนยะ นั้นหมายถึงพระศรีอริยะเมตไตย ในด้านผู้ศึกษาวิชาอาคมเชื่อและถือต่อกันมาว่ายันต์พระเจ้า ๕ พระองค์นั้นเป็นยันต์ที่เข้มขลังใช้ได้ในทุกๆ ทางทั้งเมตตาโชคลาภแคล้วคลาด คงกระพัน ล้วนสร้างปาฏิหาริย์ มาช้านานแล้ว หรือที่เรียกกันว่า พระคาถาหรือยันต์บทนี้เป็นยันต์ครอบจักรวาลนั่นเองใต้ยันต์กระบองไขว้มียันต์ขอมว่า อิ สวาสุ คือ อิ ย่อมาจาก อิติปิโสฯ สวานั้นย่อมาจาก สวากขาโตฯ ส่วนสุ นั้นย่อมาจาก สุปฏิปันโนฯหรือที่เรียกกันว่ายันต์หัวใจแก้วสามประการซึ่งยันต์บทนี้เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์นั่นเอง ซึ่งพระเวทย์หรือยันต์บทนี้ใช้ได้ในทุกด้านและมีหนังสือไทยว่า ๑๕ ก.พ. ๔๖ เหนือยันต์พระเจ้าห้าพระองค์จารึกผูกยันต์ไว้อีกบทหนึ่งว่า มะ อะ อุ หรือยันต์พระไตรปิฎก ทางโบราณเกจิอาจารย์ต่างๆถือกันว่ายันต์บทนี้เป็นยันต์ที่เด่นในทางแคล้วคลาดและเป็นเมตตามหานิยมสูงมาก จารึกเป็นภาษาไทยโค้งขึ้นตามขอบเหรียญด้านบนว่าที่ระลึกฉลองสัญญาบัตรพัดยศชั้นเอก ด้านล่างลงมาตามขอบเหรียญว่า วัดคลองคูณ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
พ.ศ.๒๕๕๐ ทางคณะศิษย์และคณะกรรมการวัดคลองคูณ ร่วมกันจัดงานทำบุญอายุ ๗๒ ปีถวายหลวงพ่อหวั่น ใน ครั้งนั้นได้สร้างวัตถุมงคลเพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับญาติโยมตลอดจนผู้เคารพเลื่อมใสหลวงพ่อหวั่นอาทิ รูปเหมือนรุ่นแรกหลวงพ่อหวั่นมีเนื้อทองคำ ๕ องค์ เนื้อเงิน ๕๐๐ องค์และเนื้อทองเหลือง ๑๐,๐๐๐องค์ ตอกหมายเลขประจำรูปเหมือนทุกองค์แต่ว่าทำองค์เล็กไปนิดหนึ่งมีความกว้างที่ ฐาน ๑ ซ.ม.สูงแค่ ๑.๗ ซมเท่านั้นนอกจากนั้นยังสร้าง พระขุนแผนเนื้อผงใบลานและพระขุนแผนเนื้อแร่เขาพนมพา แม่นางกวัก พิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่
      รูปหล่อรุ่นเสาร์ ๕ รูปเหมือนรุ่น ๒ ขนาดพกพาติดตัว ซึ่งสร้างขึ้นในปี ๒๕๕๓ ทำพิธีอธิษฐานจิตเดี่ยวเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ คํ่า เดือน ๕
พระสมเด็จ พิมพ์เกศบัวตูมแบบฝังตะกรุดตอกเลข ๗๒ ไว้มุมซ้ายมือด้านล่างนอกจากนั้นจะไม่มีรายละเอียดอื่นใด ปรากฏให้รู้พระสมเด็จพิมพ์นี้จะรู้แต่ผู้ใกล้ชิดในอนาคตเพราะคนนอกจะไม่สามารถรู้ได้เลย นอกจากคนที่ศรัทธาหลวงพ่อหวั่นและสะสมวัตถุมงคลสายตรงเท่านั้น
พระผงรูปเหมือนพิมพ์จันทร์ลอย ขนาดกว้าง ๓ ซ.ม.แกะแม่พิมพ์แบบนูนสูงครึ่งองค์หน้าตรงมีหนังสือบอกว่า หลวงพ่อหวั่น ด้านหลังรอบๆเป็นสัตว์ประจำนักกษัตริย์เริ่มจากปีชวดหนูวนไปทางขวามือแบบตามเข็มนาฬิกาปีฉลูวัว จนถึงปีกุนหมูมีเนื้อผสมเกสรกับเนื้อก้นครก
      มีดหมอหรือเพชรฉลูกรรณ
      หลวงพ่อหวั่น ท่านได้สร้างมีดหมอหรือเพชรฉลูกรรณขึ้นมาในรูปของเล่มเล็กหรือมีดปากกาที่พกพาติดตัวไปในที่ต่างๆ โดยท่านกำหนยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ว่า นะโมพุทธายะลงบนใบมีดด้านหนึ่งซึ่งโบราณคณาจารย์เชื่อกันว่าเป็นยันต์ ที่ดีพร้อมหรือเรียกว่า ยันต์ครอบจักรวาลด้านหนึ่งส่วนอีกด้านหนึ่งจะลงอักขระว่า มะ อะ อุ ซึ่งเป็นยันต์หัวใจพระไตรปิฎก คุณสมบัติของมีดหมอนี้เชื่อกันว่าป้องกันคุณไสยลมเพ ลมพัดคนสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนชนบท
ยังพอรู้เรื่องและมีความเชื่อถือกันอยู่ หลวงพ่อจึงสร้างมีดหมอขึ้นมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจสำหรับญาติโยมในละแวกนั้นตลอดจนผู้เคารพเลื่อมใส เป็นขวัญและกำลังใจต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อได้มีดหมอมาแล้วจึงทำพิธีปลุกเสก ด้วยสวดการชุมนุมเทวดา ซึ่งเป็นการอัญเชิญให้เทวดามาร่วมอวยชัยให้พรต่อเจ้าของผู้ครอบครองมีดนั้นประสพแด่ความสุขความเจริญให้ทวียิ่งๆขึ้นและเพื่อให้เทวดานั้นจงได้ปกปักษ์รักษาให้เจริญงอกงามไพบูลย์พูนสุขตลอดจนชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานที่ประกอบอยู่ เมื่อปลุกเสกเสร็จตามที่ท่านเห็นสมควรจึงนำออกให้ญาติโยมบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว
      

ล็อกเกตรุ่นแรก

      พ.ศ.๒๕๕๒ ทางวัดคลองคูณได้สร้างล็อกเกต หลวงพ่อหวั่น ขึ้นมาจำนวน๑,๐๐๐อันและถือว่าเป็นรุ่นแรกของหลวงพ่อหวั่น ทำ เพื่อแจกแก่ญาติโยมตลอดจนศรัทธาสาธุชนผู้ร่วมแสดงมุทิตาจิตใน วาระที่หลวงพ่อหวั่นเจริญอายุวัฒนะมงคลมาครบ ๗๔ ปีเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมาเป็นล็อกเกตแบบพื้นๆธรรมดาทั่วไปที่จ้างโรงงานทำมาขนาดเล็กประมาณสักเบอร์ ๕ หุ้มขอบมาจากโรงงานเสร็จเป็นลักษณะรูปเหมือนครึ่งองค์จารึกอักษรไทยว่า พระครูพิพิธรรมาทร(หวั่น)อายุ ๗๔ พรรษา ด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ในรูปกระบองไขว้ เหนือยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์เป็นยันต์หัวใจพระไตรปิฎกว่า มะ อะ อุ เหนือตัว อุ เป็นตัวอุณาโลม หนุนยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ด้วย อิสวาสุ หรือหัวใจแก้วสามประการพระคาถาบทนี้ พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณมาถือว่ามี ความศักดิ์สิทธิในด้านแคล้วคลาด คงกะพันเมตตาโชคลาภเรียกว่า เข้มขลังทุกทางดีนักแล ส่วนล่างลงมาจารึกเป็นภาษาไทยบอกว่า วัดคลองคูณ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร พ.ศ.๒๕๕๒ จะสังเกตเห็นว่า การสร้างวัตถุมงคลแต่ละครั้งหลวงพ่อหวั่นจะยึดยันต์ พระเจ้า ๕ พระองค์เสริม้วยยันต์ พระไตรปิฎกและยันต์ในด้านโชคลาภเท่านั้นหรือที่เรียกว่ายันต์พระสีวลี นะชาลีติ เท่านั้น
      

สีผึ้งเมตตา

      วิธีการทำตลอดจนขั้นตอนต่างๆหลวงพ่อหวั่นในการหุงสีผึ้ง ท่านจะให้ลูกศิษย์หาขี้ผึ้งแท้จากรังร้างเดือน ๕ หมายถึงรังผึ้งหลวงที่ไม่มีตัวอาศัยแล้วเอาขี้ผึ้งคือส่วนของรังมาให้ท่าน จากนั้นท่านจะทำพิธีหุงด้วยนํ้ามันและส่วนผสมมวลสารอื่นๆที่เป็นมงคลในด้านเมตตามหานิยมตามกรรมวิธีโบราณเมื่อเสร็จขั้นตอน จะแจกให้ญาติโยมไปใช้ หากใช้สีปากเล่าว่าจะหนักไปทางเมตตาค้าขาย เข้าหาเจ้านายให้กลั้นใจทาที่เพดานในปาก เล่าลือกันสะท้านทุ่งตะพานหินและถิ่นใกล้เคียงว่าสีผึ้งหลวงพ่อหวั่นในด้านเมตตาค้าขายแล้วละฮ้อแรด แต่บางครั้งก็ไม่มีเพราะท่านไม่ได้หุงเนื่องจากขาดอุปกรณ์ต้องสอบถามเอาเอง
ปีนี้ตามหลักไสยเวทย์เกี่ยวกับคนเล่นคาถาอาคมถือว่าเป็นปีมหามงคลต่อการปลุกเสกเลขยันต์ตลอดจนการปลุกเสกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลต่างๆ เพราะถือว่าเป็นปีเสาร์๕ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๕ คํ่าเดือน ๕นานทีหลายปีครั้ง ๑ จึงจะเวียนมาบรรจบพบสักปี ทางวัดคลองคูณได้สร้างรูปเหมือนบูชาหลวงพ่อหวั่นสำหรับพระบูชารุ่นเสาร์ ๕ นี้ถือว่าเป็นรุ่นแรกสร้างขึ้นมา ๒ ขนาดคือ ขนาด ๑ นิ้วครึ่ง สำหรับวางหน้ารถยนต์ จำนวน๑,๐๐๐องค์และหน้าตัก ๕ นิ้วจำนวน ๑,๐๐๐องค์
      โดยว่าจ้างช่างทางอำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์เป็นผู้เททองเพื่อให้บรรดาศิษย์ตลอดจนผู้เคารพเลื่อมใสบูชาเพื่อนำปัจจัยมา บูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดคลองคูณต่อไป รูปพรรณเป็นรูปเหมือนขนาด ๕” หลวงพ่อหวั่นในแบบนั่งสมาธิราบบนตั่งมีบอกชื่อไว้ที่ฐานด้านหน้าว่า อุปัชฌาย์หวั่น ๒๕๕๓ ซึ่งจะสร้างผิดกับพระเกจิอาจารย์อื่นๆแทนที่จะบอกนามธรรมดาหรือนามสมณะศักดิ์กลับจารึกเป็นอุปัชฌาย์หวั่น สั้นง่ายได้ใจความ ด้านหลังว่าวัดคลองคูณ จ.พิจิตรใต้ฐานปิดทับด้วยปูนพลาสเตอร์เขียนพระคาถาหัวใจพระสีวลีว่า นะชาลีติเป็นยันต์ที่เชื่อกันว่าเน้นหลักไปในทางโชคลาภโชคลาภ และกำกับด้วยยันต์ หัวใจ พระไตรปิฎก ว่า มะ อะ อุ และตามด้วยยันต์สุริยะจันทร์ ซึ่งยันต์ที่กล่าวถึงนี้ทางโรงหล่อแกะแบบหล่อติดมาที่ผ้าสังฆาฏิ ถือว่าเป็นยันต์แห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งโชคลาภและอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง ซึ่งด้วยความปรารถนาโดยเนื้อแท้แล้วที่ใช้ยันต์นี้ติดสังฆาฏิและเขียนด้วยปากกาที่ปูนพลาสเตอร์เพื่อต้องการให้ผู้นำไปบูชาเกิดความสงบสุขร่มเย็นกันโดยถ้วนหน้า ส่วนรูปเหมือนขนาดนิ้วครึ่งสำหรับตั้งหน้ารถยนต์ที่ตู้ด้านหน้าจะเขียนว่า หลวงพ่อหวั่น กุสลจิตโตหลังตู้ครอบจะเป็นยนต์พระเจ้า ๕ พระองค์ วัดคลองคูณ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
      

ตะกรุด

      ตะกรุดโทน เป็นแผ่นทองแดงหนึ่งแผ่นและแผ่นตะกั่วนมหนึ่งแผ่นลงยันต์แล้วประกบซ้อนกันแล้วม้วน ตามที่ผู้ศรัทธานั้นเชื่อกันว่าตะกรุดนี้ดีในทางพุทธคุณคงกระพันแคล้วคลาดและเมตตา หมายความว่ามีคนที่นำตะกรุดดังกล่าวไปพกพา ติดตัวถูกดักลอบยิงและคลาดแคล้วกันหวุดหวิดนี่คืออานุภาพของตะกรุดหลวงพ่อหวั่นที่คนพิจิตรโจษขานกันเซ็งแซ่ จึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่หนุ่มๆออกทุ่ง เลี้ยงวัวเลี้ยงควายจะพกตะกรุดโทนไปเป็น เครื่องราง คู่กายเพราะเล่ากันมาจากปากสู่หูบางคน โดนสะกรัมถูกรุมยำตีนมาด้วยตนเองรอดตีนแคล้วคลาดคมมีดมา ชนิดนึกแล้วใจหวิวเหมือนขึ้นยืนบนตึก ๑๐ ชั้นเตรียมกระโจนพุ่มหลาวเข้าหาความตาย แต่รอดมาได้มันก็น่าอัศจรรย์ใจพิลึกอยู่ดอก
ตะกรุดสาลิกาคู่ ตะกรุดแห่งความเมตตา เป็นตะกรุดที่นิยมกันในท้องถิ่นซึ่งผู้ที่เคยเห็นตะกรุดชนิดนี้ตอนยังไม่ม้วนบอกว่าเป็นรูปยันต์นกสาลิกาสองตัวหันหน้าเข้าหากัน เป็นตะกรุดที่เน้นในด้านเมตตาประเภทใครเห็นเกิดความรักและเมตตาสงสาร อยากให้อยู่ใกล้ชิดตลอดไปหรืออยากยืนยัน หาที่มาของข่าวลองหาต้นตอ ที่ ดาบตำรวจ เกษม นามสกุลขอสงวนเจ้าหน้าที่ สถานีวิทยุชุมชนคนพิจิตร ดาบเษมเป็นอีกคนหนึ่งที่สะสมวัตถุมงคลหลวงพ่อหวั่นเกือบครบทุกรุ่นเพราะศรัทธาและแนะนำเพื่อนฝูงไปกราบขอวัตถุมงคลของหลวงพ่อหวั่นเป็นประจำ
      ตะกรุดโทนสำหรับผู้หญิงดอกมีขนาดเล็กเท่าตะกรุดสาลิกาสำหรับติดในเสื้อชั้นในหรือใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าถือว่าเป็นการสะดวกคุณภาพเท่าหรือเหมือนตะกรุดโทนดอกใหญ่ และใช้วัสดุเป็นทองเหลือง ชาวบ้านที่ศรัทธาหลวงพ่อหวั่นเชื่อว่า ตะกรุดโทนสำหรบสุภาพสตรีนั้นเข้มขลังเสมอกับตะกรุดโทนของผู้ชายแม้ดอกจะเล็กแต่พุทธคุณไม่ด้อยน้อย กว่ากัน จะเน้นไปทางคงกระพันมหาอุดหยุดลูกปืน
      ตะกรุดมหาอุดเป็นตะกรุดที่มีความยาวประมาณ ๕นิ้วจะสั้นไปนิดจะยาวไปหน่อยก็ไม่น่าจะเกินที่เขียนนี้เป็นตะกรุดที่เมื่อลงยันต์แล้วถักเชือกลงรักปิดทองแต่ว่าค่าบูชาสูงกว่าวัตถุมงคลแบบอื่นๆ ตะกรุดชนิดนี้นักเลงวัยรุ่นในท้องถิ่นชื่นชอบและนิยมกันมากเรื่องตีรันฟันแทงส่วนใหญ่เชื่อกันว่าแมลงวันไม่มีโอกาสได้ลิ้มเลือด ส่วนที่ให้ผู้เรียบเรียงยืนยัน ๑๐๐๐% ย่อมทำไม่ได้เพราะยังไม่เคยโดนนักเลงกระตุกหาความแน่ความเก๋าเพราะเรามันแก่เกินแกงจะทิ่มจะแทงก็เสียมีดเสียเวลาที่จะออกไปกวนเมืองกับรุ่นใกล้เคียงกันดีกว่า
      ตะกรุดหนังเสือ ทางคณะศิษย์และหลวงพ่อหวั่น ได้ซื้อหนังเสือโคร่งมาผืนหนึ่งตัดเป็นแผ่นลงตะกรุด ใน ทาง มหาอำนาจในตัวผู้พกพาเพราะเสือนั้นถือว่าเป็นเจ้าแห่งพงไพรแม้ยามเยื้องย่างไปทางใดก็ดียามนั้นป่าจะเงียบสงัดแม้แต่จักจั่นเรไรในราวไพรจะเงียบสนิทสัตว์จะจตุบาททวิบาทจะหลบเข้าซุ่มเงียบไม่ไหวติงสรรพสำเนียงทั้งปวงในราวไพรนั้นเงียบสงัดแม้พระพายยังหยุดพักการพัดผ่านใบพฤกษาหยุดการไหวติงลงชั่วขณะราวไพรนั้น จะตกอยู่ในความเงียบเชียบ ลงชั่วขณะโดยเฉพาะ เมื่อพยัคฆ์ร้ายคำรามสัตว์ทั้งปวงจะชุกตัวเงียบเพราะด้วยอำนาจแห่งตะบะของเสือร้ายนี่เอง ตะกรุดหนังสือจึงหนักในทางอำนาจตะบะเดชะเป็นที่กริ่งเกรงของผู้พบเห็นโดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้างานหัวแผนกหัวหน้ากองแม่ทัพนายกองสมควรยิ่งนัก ที่จะมีพกติดตัวไปในทุกหนแห่งเพื่อให้เกิดอำนาจเป็นที่เกรงขามและกริ่งเกรงของผู้พบเห็นนั่นเอง
      ตะกรุดโสฬสเป็นตะกรุด๑๖ดอกรวมกันเป็นเส้นซึ่งสร้างน้อยมากไม่ค่อยพบเห็นมากนักเพราะการถักเชือกตะกรุดนั้นยุ่งยากแต่ก็ มีส่วนดีที่ในปัจจุบันมีหลอดพลาสติกใส่สะดวกปิดหัวท้ายด้วยห่วงแสตนเลสง่ายต่อการพกพา
      ตะกรุด คู่ชีวิต ซึ่งยันต์นี้ในจังหวัดพิจิตรพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าหลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง หลวงพ่อน้อย วัดป่ายางนอกหลวงพ่อเงิน วัดท้ายนํ้า หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่าได้ทำตะกรุดดังกล่าวเพื่อแจกญาติโยมลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด ซึ่งกล่าวว่าเน้นในเรื่องอยู่ยงคงกระพันถือว่ามีพุทธคุณในด้านคงกระพันสูงมากโดนปืนยิงมีดแทง เสื้อแสงขาดวิ่นแต่แมลงวันไม่เคยได้ลิ้มเลือดลูกศิษย์ลูกหาตลอดผู้เคารพเลื่อมใสจึงเรียกว่า ตะกรุดคู่ชีวิตเพราะคิดว่าหากมีตะกรุดหลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่าไปแล้วชีวิตจะปลอดภัยจากเหตุร้ายทั้งปวงเปรียบดังมีสิ่งที่เป็นคู่ชีวิตคุ้มครองนั้นเอง ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อหวั่นได้รับการตกทอดการทำตะกรุด คู่ชีวิต หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า หลวงพ่อหวั่นจึงสร้างตะกรุดคู่ชีวิต สร้างตามตำราของหลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า ตะพานหิน อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในเรื่องทำตะกรุด การสร้างตะกรุดคู่ชีวิตนั้นปฏิบัติดังนี้
      ๑.ใช้ตะกั่วนํ้านม(ตะกั่วอ่อน)จารอักขระยันต์ครบถ้วนตามตำราหลวงพ่อโพธิ์แล้ว จึงเสริมยันต์ของท่านที่ได้เรียนมาลงไปจำนวนหนึ่งเมื่อเสร็จจึงทำอั่วหรือไส้ทองแดงเป็นแกนกลางอีกชั้นหนึ่งจึงทำพิธีปลุกเสกแล้วถักเชือกบางครั้งก็ ถักไม่ทัน ใครขอก็ให้ไปเลยบางทีถักไม่ทันก็เอาไปบูชากันทั้งที่ยังไม่ถักนั่นแหละ
บูชาบูรพาจารย์ หลวงพ่อหวั่นเจริญอายุมาครบ ๖ รอบ(๗๒ปี) ประกอบกับในขณะนี้หลวงพ่อหวั่นเองท่านก็อยู่ในวัยชรา จึงคิดบูชาคุณบูรพาจารย์ของวัด ได้จัดสร้างรูปหลวงพ่อจันทร์แบบเนื้อผงในท่าท่านนั่งสมาธิเต็มองค์แกะฯนูนสูงขึ้นมาจากพื้นผนังด้านหลัง ส่วนด้านหลังจะเป็นพระพิฆเนศวรหรือเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ อยู่ตรงกลางเช่นกันในรอบๆรัศมีเปลวเพลิง สำหรับหลวงพ่อจันทร์เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ไม่มีรูปถ่ายของท่านจึงยากที่จะบอกว่าเหมือนหรือไม่เหมือนองค์จริงสอบถามชาวบ้านในถิ่นนั้นบอกว่าทำให้เหมือน รูปปั้นที่ในวัดซึ่งเป็นที่เคารพกราบไหว้ของชาวบ้านคลองคูณที่เล่าว่าใครขอหรือบนบานอะไรมักจะสมปรารถนาทุกรายไป และรอบๆพระพิฆเนศวรนั้นจะเป็นสัตว์ประจำปีเกิดวนทางขวา เช่นปีชวดหนูปีฉลูวัวหรือภาษาโหราศาสตร์จะเรียกกันว่าสิบสองนักกษัตริย์หรือสัตว์ประจำปีเกิดทั้ง ๑๒ ปี
รูปเหมือนเทโบราณ หลวงปู่จันทร์ เพื่อเป็นการน้อมนำคารวะครูบาอาจารย์ในอดีตประจำอารามแห่งนี้ จึงจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่จันทร์ขนาดห้อยคอเทโบราณในแบบสมาธิรูปร่างจะไม่สวยและคมชัดเหมือนรูปหล่อฉีดทั่วๆไป
      พระพิฆเนศวร คือหลังจากที่ท่านพ่อท้าวจตุคามรามเทพกำลังอ่อนแรงศรัทธาลงเนื่อง จาก ปัจจัยหลายๆอย่างมารุมเร้าอาทิ บางรุ่นทำไม่ทันพิธี พุทธาภิเษกทั้งหมด บางรุ่นคนสร้างกับคนซื้อตกลงกันไม่ได้เนื่องจากของไม่มีส่งเพราะคนสั่งทำไม่จ่ายเงินโรงปั้ม แต่สิ่งหนึ่งที่ชวนพิศวงจังหวะนั้น ท่านพ่อท้าวจตุคามถือว่าเป็นเทพแห่งเมตตาและโชคลาภคือท่านนั้นโปรดหมดให้คนมีกินมีใช้กันถ้วนหน้าตั้งแต่คนปัดทอง เลื่อมพลาสติก ใส่ตลับธรรมดา ตลับเงินพูดเต็มปากว่าสร้างงานสร้างรายได้ให้ผู้คนทั่วประเทศและ เป็นวัตถุมงคลที่แปลกเพราะว่าไปที่ไหนในขณะนั้นผู้คนก็คลั่งไคล้แสวงหาแต่องค์ท่านพ่อจตุคามและแม้แต่ในขณะนั้นเศรษฐกิจในประทศโดยรวมไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรหลวงพ่อหวั่น จึงได้สร้างองค์พิฆเนศวรเพื่อมอบเป็นที่ระลึกสำหรับญาติโยม โดยรวบรวมมวลสารต่างๆมาผสมกับดินแร่เขาพนมพาของจังหวัดพิจิตรมาปั้มเป็นองค์พิฆเนศวรขนาดความกว้าง ๔.๕ ซ.ม.ส่วนหลังเป็นหนังสือโอมที่นิยมนำมาประทับด้านหลังแบบทั่วๆ ไปนอกจากพระเครื่องประเภทต่างๆ แล้วหลวงพ่อหวั่นท่านยังมีผ้ายันต์ ธงชัยนวหรคุณ

ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา



เมืองแปดริ้ว แห่งลุ่มน้ำบางปะกง ประตูสู่ภาคตะวันออกดินแดน เศษรฐกิจของประเทศอันเป็นรากฐานของประเทศ ดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรณ์ ทั้งแร่ธาตุ และแหล่งท่องเที่ยว  รวมทั้งในแง่ศาสนาและความเชื่อ ดินแดนนี้มากมายไปด้วยเกจิอาจารย์เก่งกล้าวิทยาคม มีชื่อเสียงระดับประเทศมากมาย หนึ่งในนั้นมีนามของ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ พระมงคลสุทธิคุณ หรือ หลวงพ่อฟู อติภทฺโท เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ศิษยานุศิษย์ต่างขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำบางปะกง

หลวงพ่อฟู เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง) วัดบางวัว เป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบันอายุ ๙๐ ปี ๗๐ พรรษา  หลวงพ่อฟูเป็นพระสุปฏิปันโน พระนักปฏิบัติ ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อาคมขลัง สืบทอดพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ที่โด่งดังหลายรูป เช่น สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว พระอุปัชฌาย์ ที่เมตตาและถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ศึกษาต่อจากหลวงพ่อจอม หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี ทั้งวิชาเสืออาคม เสือสมิง ปลัดขิก หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ซึ่งถ่ายทอดวิชาหน้าผากเสือ และปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ อันลือลั่น และยังถือได้ว่าเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงพ่อดิ่ง ที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคม ในการสร้างวัตถุมงคล ลิงหรือหนุมานอันลือเลื่อง และสุดยอดวิชาของหลวงพ่อดิ่งคือวิชา “สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์”

หลวงพ่อฟู เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ที่วัดบางสมัคร โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว) ผู้เป็นพระอาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชื่น วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเมธีธรรมโฆสิต (พระมหาจอม) วัดบางสมัคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ 
ได้รับฉายาว่า “อติภัทโท” หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาด้านคันถธุระ ที่วัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ จนสามารถสอบได้นักธรรมโท และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดอุทยานที จ.ชลบุรี เพื่อเรียนนักธรรมเอก

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านก็สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ต่อมาพรรษาที่ ๑๖ พ.ศ.๒๕๐๑ หลวงพ่อฟูได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ชลบุรี เลื่อนอันดับเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองไม้แดง จ.ชลบุรี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา ว่างเว้นลง ชาวบ้านและญาติโยมจึงนิมนต์ท่านให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบางสมัครจวบจนปัจจุบัน     
ทั้งชีวิตท่านอุทิศเพื่อพระศาสนา ได้พัฒนาวัดบางสมัครจนเจริญรุ่งเรืองเป็นวัดที่ใหญ่โตและกว้างขวาง วันนี้มีพระอุโบสถ ที่ใหญ่ที่สุดในเขต อ.บางปะกง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้รับรางวัลพระราชทานเสมาธรรมจักรทองคำ สาขาเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สร้างความปลื้มปีติให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วทุกหย่อมหญ้า ในด้านการศึกษา หลวงพ่อฟู ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมให้พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่อีกด้วย    

หลวงพ่อฟู ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบสานวิทยาคมสายตรงจาก หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว โดยแท้ เนื่องจากเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านและยังเป็นเกจิอาจารย์ที่มีอาคมขลังยิ่ง วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมและกล่าวขานกันมากคือ เหรียญรูปไข่ รุ่นแรก พ.ศ. ๒๔๘๑ ตะกรุดเสือเสื้อยันต์  ลิงจับหลักแกะจากรากพุดซ้อน ว่ากันว่า หลวงพ่อดิ่ง ได้ถ่ายทอดวิชา “สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์” อันเป็นวิชาชั้นสูงสุดของท่านและวิชาการสร้างลิงจับหลักที่แกะจากรากต้นพุดซ้อนให้หลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น

หลวงพ่อฟู เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ที่วัดบางสมัคร โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว) ผู้เป็นพระอาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชื่น วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเมธีธรรมโฆสิต (พระมหาจอม) วัดบางสมัคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ 
ได้รับฉายาว่า “อติภัทโท” หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาด้านคันถธุระ ที่วัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ จนสามารถสอบได้นักธรรมโท และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดอุทยานที จ.ชลบุรี เพื่อเรียนนักธรรมเอก

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านก็สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ต่อมาพรรษาที่ ๑๖ พ.ศ.๒๕๐๑ หลวงพ่อฟูได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ชลบุรี เลื่อนอันดับเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองไม้แดง จ.ชลบุรี จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา ว่างเว้นลง ชาวบ้านและญาติโยมจึงนิมนต์ท่านให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบางสมัครจวบจนปัจจุบัน     
ทั้งชีวิตท่านอุทิศเพื่อพระศาสนา ได้พัฒนาวัดบางสมัครจนเจริญรุ่งเรืองเป็นวัดที่ใหญ่โตและกว้างขวาง วันนี้มีพระอุโบสถ ที่ใหญ่ที่สุดในเขต อ.บางปะกง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้รับรางวัลพระราชทานเสมาธรรมจักรทองคำ สาขาเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สร้างความปลื้มปีติให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วทุกหย่อมหญ้า ในด้านการศึกษา หลวงพ่อฟู ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมให้พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่อีกด้วย    

หลวงพ่อฟู ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบสานวิทยาคมสายตรงจาก หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว โดยแท้ เนื่องจากเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านและยังเป็นเกจิอาจารย์ที่มีอาคมขลังยิ่ง วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมและกล่าวขานกันมากคือ เหรียญรูปไข่ รุ่นแรก พ.ศ. ๒๔๘๑ ตะกรุดเสือเสื้อยันต์  ลิงจับหลักแกะจากรากพุดซ้อน ว่ากันว่า หลวงพ่อดิ่ง ได้ถ่ายทอดวิชา “สูญผีไล่ผี คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์” อันเป็นวิชาชั้นสูงสุดของท่านและวิชาการสร้างลิงจับหลักที่แกะจากรากต้นพุดซ้อนให้หลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น